[ATH2020] สรุปงาน Agile Thailand 2020

หลังจากห่างงานแนวๆนี้ไปนาน เพราะติดเรียน ป โท ครับ ตอนนี้เรียนจบ / รับปริญญา เรียบร้อยแล้ว

เดินทางมา SCB Academy อย่างไร ?

  • ตอนแรกว่านั่งรถไฟฟ้า BTS จากบางหว้า มาพหลโยธิน 24 แต่มันแพง 555
  • ผมเลยลอง Challenge โดยลองนั่งรถเมล์ครับ
    • สาย 539 จากชัยพฤกษ์ มา อนุสาวรีย์ 14 บาท
    • สาย 39 จากอนุสาวรีย์ มาถึงพหลโยธิน 24 10 บาท
  • พอตั้ง Challenge ไว้แบบนี้แล้วเลยมาถึงคนแรกเลย เพราะ เผื่อเวลาไว้เยอะหน่อยครับ
  • แต่มาถึงแล้วก็มาช่วย Review เล่ม Proposal ของรุ่นน้องต่อครับ จนถึงงานเริ่มครับ

เริ่มงาน

  • Theme งานปีนี้ "It's Okay to Not Be Okay ตั้งวงเล่า เรื่องเศร้าอไจล์" - เพราะการนำ Agile มาใช้มันมีสำเร็จ และพัง
  • Check-in มีให้จับกลุ่มแนะนำตัวครับ รุ้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง แต่เสียงดังไปนิดนครับ ผมเป็นคนที่ไม่ชอบที่เสียงดังๆเท่าไหร่ครับ
  • งานวันนี้เป็นเหมือนงาน Agile ครั้งก่อนๆครับ เป็นงานแบบ Unconference ครับ ไม่มีหัวข้่อ มีแต่ Slot เวลาเตรียมไว้ให้ครับ
  • กฏของ Conference นี้ครับ
  • จากนั้นเป็นหัวข้อของทาง SCB ครับ และหัวข้อที่แต่ละท่านมาแชร์ครับ เดี๋ยวผมจะเขียนในหัวข้อถัดไปครับ โดย VDO ของงานวันนี้ เข้าใจว่าจะถูกบันทึกลงใน Platform พลเมืองดีดิจิตอล ครับ

สรุปหัวข้อในงานที่ผมได้ฟังนะครับ

- Robinhood

เลือกรูปนี้ เพราะมี Code ส่วนลด ^__^
  • Platform ที่เสริมธุรกิจหลักของธนาคาร เป็น CRM ทางหนึงของธนาคารครับ จาก Pain Point
    • ค่าจุกจิกมากมาย เช่น GP ของร้าน 30% Rider 20%
    • Platform ที่มีอยู่เป็นของต่างชาติ
  • One Team
    • Humble ถ่อมตัว เน้นแนวคิด Idea ใหม่ๆ ไม่ยึดตามตำแหน่ง
    • Responsive ตอบสนองกับหน้าที่ ไม่มีโทษใคร ถ้าผิดพลาด
    • Collaborative นอกจากทีมพัฒนาแล้ว มีนำหน่วยงานอื่นมาร่วมด้วย เช่น พนักงานสาขา / Call Center เป็นต้น
  • Food Delivery มีความท้าทายต่าวกับ Mobile Bank
    • ร้านน้อย เพิ่มร้านยังไง
    • คน Rider น้อยไม่พอ บูตจำนวน Order ให้จูงใจ Rider ด้วย
    • ค่า GP
    • ส่งช้า
  • COVID เปลี่ยนทุกอย่าง ปกติงานธนาคาร ใช้เวลา 2 ปี 1 ปีทำเรื่อง 1 ปีพัฒนk แต่งานใช้เวลาภายใน 3 เดือนเน้นความเรียบง่าย(Simple) เน้น Feature เรียบง่าย สั่งอาหารได้ก็พอครับ
    • Idea Meeting พยายามทำให้จบใน 1 Meeting ไม่ให้เกิดการวน Loop
    • Food Delivery เป็น Tech ที่ใครอยู่ได้นานสุดชนะ
    • ทำอย่างไรมห้ลูกค้า Applicate กับ Product เรา
    • SCB เริ่มต้นโดยอาจจะไม่พร้อม อาทิ เช่น Rider หาผู้เชี่ยวชาญอย่า skootar เข้ามาร่วมมือแทน และมีการเข้า course เพื่อให้ประสิืทธิภาพการยบริการสูงสุด เพราะ พนักงานส่งเป็นคนคนเดียวที่ลูกค้าจะได้พบหน้า แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ ให้ลูกค้่าประทับใจ
    • ส่วนที่ SCB พร้อม เช่น
      • พนักงานสาขามีให้ไปปรับตัวหาร้านอาหาร พร้อมช่วยสร้างร้านบน Platform
      • Call Center ปรับนอกจากรับเรื่องเงินๆทองๆ แล้วมารับร้องเรียนเรื่องเมนูอาหารด้วย

- GPO Go Agile

  • GPO = องค์การเภสัชกรรม เป็นองค์กรของรัฐ ทำงานเกี่ยวกับผลิต + ขายยา และเวชภัณฑ์ไม่ใช่ IT เลย น่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐที่เอา Agile ไป Implement ครับ
  • ลูกค้าขององค์การเภสัชกรรม โรงพยาบาลรัฐ และยาในโครงการ 30 บาท ส่วนโรงพยายาลของทหาร หรือ เอกชน มีตลาดแยกไปอีกครับ
  • เดิมหน่วยงานรัฐทำตาม Process เป็น Waterfall แบบนึง และมี SILO ทำให้งานบางอย่างเชื่องช้า
  • เริ่มต้นจากผู้บริหารองค์กรเล็งเห็นถึงปัญหา เลยกำหนดทีมขึ้นมา เค้าน่าจะเรียกว่า Enablers นะ ถ้าจำไม่ผิด เป็นการคัดคนที่มีความสามารถของแต่ละหน่วยมาอบรมการใช้ Agile และทำงานร่วมกัน โดยให้ SCB Academy มาเป็น Coach เพื่อให้บรรลุ Goal / KPI ได้
    • Enablers มาจากพนักงานในองค์กร รวมเป็น Talent Team มีทั้งเภสัชกร นักวิจัย และ HR เป็นต้นครับ
    • หน่วยงาน หรือ คณะกรรมการ 10 คณะ โดยมองว่าประธานของคณะ เป็น Product Owner เป็นผู้ที่ใช้ Requirement ของชิ้นงานขึ้นมา
    • Enablers => ให้ไปเป็น Scrum Master ซึ้งมีหน้าที่ประสานงาน ลดความล่าช้าของแต่ละหน่วย อันนี้ทำได้ เพราะ ผู้ใหญ่ในองค์กรหนุนด้วยครับ (Leader Ship Support)
    • COVID ทำให้ Process เกิดการปรับเปลี่ยน จากเดิมที่มี Agile มาเร่งปรับกระบวนการแล้ว ยังมี COVID มาร่วมแจมด้วย อันนี้ผมว่าเสริมตัว Digital Transformation ครับ
    • Scrum Master ปรับ Mind Set ของในทีมให้ค่อยพร้อมรับกับ Agile โดยมีกลยุทธ์
      1. สู้ - ปรับให้ทุกคนมี Mind Set เหมือนกัน เห็นงานร่วมกัน
      2. ถอย - ผู้บริหารมี Style ไม่เหมือนกัน ต้องปรับตัว ต้องมี Network ช่วยประสาน
      3. หลบ - ช่วยแบบไม่ออกตัว หรือ วางยา จริงเป็นทักษะการสื่อสารพี่ค่ะ
      4. ปล่อย - ทำจนถึงที่สุด ปล่อยให้เค้าเรียนรู้ด้วยตัวเอง
    • เอา Agile มาใช้แล้ว Product ยา เวชภัณฑ์ต่างๆยังต้องตรงตามมาตรฐาน รวมถึงปรับตัวให้ทัน และพึ่งพาตัวเองได้
  • Culture Transformation
    • ทุกคนต้องเห็นงานทั้งหมดร่วมกัน และร่วมตัดสินในสถานะของงาน ใน Kanban Board ให้ผู้บริหารมีส่วนร่วมในการตัดสินใจขยับ Kanban เช่น จาก To Do > Doing > Done
    • นัดตามงานตามรอบ และสื่อสารกันผ่านช่องทางอื่นๆอกจากหนังสือราชการ
    • Sprint Review เพื่อให้ Stakeholders เห็นภาพ และร่วมมือด้วย
  • ผลงานที่ออกมาชัดเจน PPE รุ่นเราสู้ / Alcohol Gel / ปิดยอดขายได้
  • คหสต ของผมนะ ยังไม่ค่อยเห็นภาพของ Retrospective ลืมถามด้วยแหละ ว่าในหน่วยงานราชการ ถ้าเอา Agile มาใช้เป็นอย่างไร และการทำเป็นรอบๆ ที่ยังงงๆอยู่ครับ

- ผิดไหมที่จะรู้สึกไม่ดีกับคนในทีม

  • ผมเข้าหัวข้อนี้ เพราะไม่ได้มีปัญหากับคนในทีมหรอก แต่ข้ามแผนก และลูกค้า 555 จริงช่วงเวลานี้มีหัวข้อที่สนใจอยู่นะ Agile Testing กับ D.I.S.C กับการบริหารทีม เดวรอ Blog ของท่านอื่นๆครับ
  • Iceberg Theory
    • people สำคัญ และเราไม่สามารถ Deal ได้กับคนทุกรูปแบบ
    • เราต้องเข้าใจว่าทุกคนมาจากคนละที่ถูกหล่อหลอมมาไม่เหมือนกัน
    • บางครั้งเรามองแต่ Behavior ที่ทำให้เกิด Outcome ที่อยู่เหนือภูเขาน้ำแข็ง แต่ไม่ได้มองลึกลงไปถึงใต้ภูเขาน้ำแข็งว่าอะไรหล่อหลอมมันมาบ้าง
      • ประสบการณ์ เหตุการณ์ที่ผ่านมา (Experience)
      • ทำให้เกิดความเชื่อ (Belief)
      • ส่งผลต่อความคิด (Thinking) และความรู้สึก (Feeling)
      • ที่สะท้อนออกมาในรูปแบบของพฤติกรรม (Behavior) และผลลัพธ์ที่ได้
  • Johari Window - เป็นวิธีการที่ช่วยให้เราเข้าอกเข้าใจตัวเอง หรือผู้อื่นมากขึ้น
    • Open Area - ตัวตนเราที่ตัวเรา และที่คนอื่นเห็น
    • Blind Spot - ตัวตนที่เราอยู่ แต่คนอื่นไม่เห็น หรือ เข้าใจ สิ่งที่ช่วยได้ คือ การถาม (Asking for Feedback) ถามปลายเปิด เพื่อให้เข้าใจมาขึ้น
    • Hidden Area - เรารู้ แต่คนอื่นไม่เข้าใจ เช่น เราซีเรียสเรื่องเวลา แต่ที่คนอื่นเห้นชอบไปจี้ๆให้ทำงานเสร็จ สิ่งที่ช่วยได้ คือ การเปิดใจ ถึงจุดอ่อน (Disclosing Vulnerability) เพื่อให้อีกฝ่ายเกิดความเข้าใจ เอาใจใส่ (Empathy) เข้าใจสถานการณ์ของผู้เล่า ช่วยรับฟัง หรือ ถามเพื่อให้เค้าเปิดใจจนพอ
      • ผมว่า Blind Spot กับ Hidden Area บางครั้งมันมองคู่กันได้
    • Unknown - พื้นที่ที่เรา และคนอื่นก็ไม่รู้
  • 3E of Resonance
    • Emotion - เรารู้สึกอย่างไร
    • Experience - เรามีประสบการณ์อย่างไร
    • Expectation - เราคาดหวังอะไร ซึ่งส่งผลกับ Emotion
  • เหมือนผมจะได้ยินอีกคำด้วยนะ น่าจะเป็นคำว่า Sympathy = ความเห็นใจ สงสงสาร (ไม่แน่ใจว่าถูก หรือป่านะ)
  • จากนั้นมีกิจกรรมให้ลองเปิดใจ เล่าเรื่อง ระบาย ผมก้บ่นไปเยอะเหมือนกัน 5555
  • ผมอาจจะสรุปไม่ได้ครบถ้วนนะครับ ลองไปอ่าน

- มองวัฒนธรรมองค์กรผ่านมุมมอง The Platform

  • ผมขอสารภาพก่อน ผมเพิ่งรู้ว่า The Platform คือ หนังใน Netflix (เสียเงินไป 99 บาททุกเดือน เริ่มรู้สึกว่าไม่คุ้มและ ดูแต่การ์ตูน 555)
  • ก่อนจะเขียน Blog ผมเลยไปดูสปอย เพื่อความเข้าใจก่อน
  • อะไรที่ส่งผล หรือสะท้อนออกมาในรูปแบบวัฒนธรรมองค์กรได้
    • คน - ลักษณะส่วนตัว (Personal) / คนรอบข้าง เช่น เพื่อนร่วมงาน หัวหน้า
    • Process/Policy - เพื่อให้การทำงานมันมีระบบ ระเบียบ และช่องโหว่ (อันหลังผมเติมเองนะ เพราะมี Blog นึงที่เขียนดองไว้อยู่ กะว่าจะ Publish ปีหน้า อ่านทวนหลายๆรอบก่อน)
    • KPI - ต้องทำให้ได้ตามเป้าหมาย
    • โครงสร้างองค์กรที่เป็น Silo - ทำให้ทุกคนดูแปลกแยก
    • Corporate Value - ที่ตั้งมาแล้วแต่ระบบไม่เอื้อ เช่น โตไปไม่โกง แต่ระบบ หรือ สภาพแวดล้อมมันไม่เอื่อ คนโกงยังรอดไม่ถูกลงโทษ อะไรงี้

ผลประกอบการสะท้อนวิธีการทำงาน และวัฒนธรรมขององค์กร

ผมชอบคำนี้นะ
  • ปัญหาที่เกิดขึ้น ถ้าวัฒนธรรมองค์กรมันไม่เอื้อ
    • เมื่อเกิดข้อผิดพลาดให้ทำให้เกิดวัฒนธรรมการเอาตัวรอด - โยนขี้ โทษกันไปกันมา (Blaming Culture)
    • ขาดความเห็นอกเห็นใจ ก็งานในส่วนของ Sale ทำเสร็จแล้ว ทำไมต้องสนใจทีมข้างหลัง เป็นต้น
    • Silo ที่แยกหน่วยงานของใครของมัน
  • Communication - ไม่ใช่แต่เพียงการพูดคุย แต่เป็น Way of Work
  • การแก้ Culture ปรับให้มันดีขึ้นได้
    • เริ่มต้นที่ตัวเราก่อนเลย ถ้าจะเปลี่ยนระบบต้องกล้ามาก หรือ เอาตัวเองออกไป 555
    • มองคนอื่นให้มาขึ้น นึกถึงหัวข้อก่อนเลยที่ฟังเลย ผิดไหมที่จะรู้สึกไม่ดีกับคนในทีม ลดชั้น ถ้าในเรื่อง Platform ลดจำนวนขั้น
    • ปรับการทำงานขององค์กร ปรับ Policy ไม่ให้เกิดการโยนขี้
    • สร้าง Transparency - ความโปร่งใส จริงๆมองว่า ไม่ให้เกิดการเลือกข้างมากกว่า เช่น งบมาเท่านี้ ได้เครื่องคอมที่แรกที่สุด 1 เครื่อง ทีมมี 10 คน และเราควรใช้ใครได้ใช้งานมันหละ ?
    • สร้าง Trust - ทำให้คนในทีมเกิดความเชื่อมั่น
    • ทำให้ Free Space เพื่อให้ได้จาก Feedback ที่ตรงไปตรงมา
    • สุดท้ายการปรับตัวมาจากทั้งสองมุม
      • Top-Down : สิ่งที่ผู้บริหารต้องการสื่อ ต้องลงมาถึงพนักงานชัดเจนไม่บิดเบือน
      • Bottom-Up : เสียงจากพนักงานขึ้นไปถึงผู้บริหาร
  • พอดูสปอยเรียบร้อย ผมเข้าใจนะ ว่าสิ่งที่หนังจะสื่อ มันปรับตัวคุกเข้ากับโครงสร้างขององค์กรได้จริงๆนะ
    • พวกชั้นบนๆ ไม่รู้ว่าข้างล่างเป็นอย่างไร เอาสบายก่อน
    • คนที่จะเปลี่ยนระบบ มีบางคนที่ต้องท้อหมดหวัง และจากไปก่อน การจะโน้มน้ามใครมีเปลี่ยนยากพอตัวเลย
    • กฏเกณฑ์ของคุกที่เหมือน Process / Policy ขององค์กร ที่มันเกิดข้อผิดพลาด แต่ไม่มีใครสนใจ หรือแสดงให้เห็น ในสปอยมีนะความผิดพลาดของระบบ แต่ไม่รู้ว่าจะทำใ้เกิดการเปลี่ยนแปลงไหม

- Domain Driven Design for Agile

  • DDD vs TDD การเข้าใจสิ่งจะออกแบบขึ้นมา กับ การทดสอบสิ่งที่กำลังทำ
  • Domain Driven Design
    • Ubiquitous Language ความหมายของคำในบริบทต่างกัน เช่น context การเงิน par กับบ้าน   par พอมีคำพวกนึ้มาขึ้นจะกลายเป็น Domain ขึ้นมา
    • Bounded Context - กรอบของคำ ข้อมูล
    • Context Mapping - แต่ละ Bounded Context มันสื่อสารอย่างไร
  • Software ควรมีแผนผัง/ แผนที่นะ เรียกว่า Big Bold of Mud ก้อนโคลน
  • Microservice ทำให้ตัว Domain Driven Design กลับมาอีกครั้ง เพราะ ช่วยให้เราเลือกได้ว่า อะไร สิ่งทีควรทำ ควรจัดให้อยู่ด้วยกัน
  • Event Storming วิธีการ Implement DDD - เริ่มจาก Use Case กิจกรรม และสิ่งที่ควรได้ คือ Problem Space (Domain Modeling)
  • Problem Space การเข้าใจรูปแบบการทำงาน (แหมทำให้นึกถึงตอนเรียนวิชา RE 555)
    • ต้องผ่านกิจกรรม Event และ Product ที่ออกมา คือ อะไร (คนสอนเรียกว่า Aggregate เช่น ระบบ OPD เมื่อคนไข้ เข้ามาต้องได้ข้อมูลคนไข้ และ
    • เจ้า Aggregate ข้อมุลเล็กที่สุดที่จะ commit ได้
    • มันจะได้แผนที่ของระบบที่แสดงขอบเขตชัดเจน ผมเข้าใจว่าเป็น High Level Architecture นะ แต่ผู้พูดบอกถึง C4Model นะ
    • แยก Domain ให้ได้ โดยต้องพึ่งพา Domain Expert เข้ามาคุย และทำงานร่วมกันในทีม
    • จัดการความสัมพันธ์ระหว่างระบบ Bounded Context ก่อน
    • เมื่อแยก Domain ได้ แล้ว เราจะจัดลำดับความสำคัญได้
      • Core Domain - ส่วนสำคัญของระบบ ต้องทุ่ม Resource
      • Generic Domain - ส่วนที่ Common อาจจะหา Framework หรือ เครื่องมือมาช่วยได้
      • Support Domain - ส่วนที่เสริมการทำงาน อาจจะใช้ทีมงาน Outsource มาช่วย เป็นต้น
    • พอได้ Problem Space จุดที่เราจะดูได้ต่อ ถ้าจะแก้ไขมัน (Re-Model) อะไรกระทบบ้าง ผมนึกถึงภาพเกม Total war เหมือนเราต้องมาวางแผนของแผนที่ของปัญหา
  • Solution Space เอาสิ่งที่เป็น Problem Space ที่จัดกลุ่ม หรือ Domain อะไรเรียบร้อยจนรู้ถึงความสัมพันธ์แล้ว มาใช้ Technical Design เพื่อให้เกิดวิธีการแก้ปัญหาจริง ปัญหาอาจจะไม่ต้องทำระบบก็ได้นะ บางทีปรับวิธีการทำงานก็ได้แล้ว หรือ ถ้าเป็น Technical Design จริงๆ เช่น
    • การตัดสินใจว่าข้อมูลไหนควรจะ Atomic Tx - Consistency หรือ Eventually Consistency ซึ่งมันจะส่งผลกับ Service ที่ทำเหมือนกัน ว่าจะ Scale ได้ไหม หรือ เกิด Dependency Hell
    • Design Pattern อันนี้ ผมเข้าใจเป็นวิธีการหนึ่ง Solution นะ แต่อาจจะเข้าใจผิดก็ได้

Blog หรือ Resource อื่นๆ

ปิดท้ายงาน

  • ขอบคุณผู้จัดงานที่ทำให้มีงานแชร์ดีๆเหล่านี้ขึ้นมานะครับ ทำใ้ห้แนวคิด หรือ Idea มากครับ
  • เห็นคน Non-IT เข้ามาฟังมาขึ้น แต่ผมยังรอดูต่อไปว่าจริงๆแล้ว Agile กับ Non-IT มีรูปแบบ หรือนิยามอย่างไรนะครับ คือ ตอนนี้ ผมยัมีคำถามในใจว่ามันต่างยังไงกับการปรับกระบวนการ (Process Improvement)
  • สรุปอาจจะขาด หรือ ไม่สมบูรณ์ขออภัยมาด้วยนะครับ ตอนเขียน Blog ยังเบลอๆ
  • ขากลับผมไม่ Challenge นั่งรถเมล์กลับนะ ลองรถไฟฟ้าแทน กลัวติดการชุมนุม
    • BTS พหลโยธิน 24 - หมอชิต 0 บาท ผมแปลกใจเหมือนกัน
    • MRT จตุจักร - บางขนนนท์ 35 บาท
  • อ้อเกือบลืมของในงานเสื้อวิ่งสวยมากครับ ใส่เอาไปวิ่งเรียบร้อยแล้ว
  • อาหารอร่อยครับ แต่ปีนี้ทานน้อยลดน้ำหนักอยู่ หวังว่าปลายปีจะต่ำกว่า 70 ยังอยู่ในวังวนของ 76-77 kg

Discover more from naiwaen@DebuggingSoft

Subscribe to get the latest posts to your email.