Economy of Scale กับ Return to Scale

จริงๆ ผมไม่ค่อยรู้ความหมายของคำนี้หรอก 55 แต่พอลงทุนให้หุ้น ผมต้องหาความรู้เพิ่มเติมเหมือนกัน เพราะ เราจะมั่นใจว่าเงินมันทำงานแทนเราได้ เราต้องมีความรู้ก่อน เพื่อจัดสรรให้เงินมันทำหน้าที่ของมันได้เหมาะสม วันนี้มีศัพท์สองคำมาแนะนำกับนะครับ คือ Economy of Scale กับ Return to Scale ว่านักลงทุนอย่างแรก ควรรู้ไปเพื่ออะไร มันมีผลอะไรกับหุ้นของเราบ้าง เริ่มต้นกันที่ Economy of Scale Economy of Scale แปลตรงตัว คือ การประหยัดของขนาด ถ้าพูดง่ายๆ คือ การลดต้นทุนต่อหน่วยให้ลดลง โดยการขยายกำลังการผลิตให้มากขึ้น ถึงตอนนี้หลายๆคนอาจจะลงสงสัยว่า ทำไมผลิตเพิ่ม แล้วต้นทุนถึงต่ำลง เราต้องมองไปที่ค่าใช้จ่ายในการผลิต มันจะส่วนที่เป็นที่คงที่ กับแปรผ้น โดย มาถึงตรงนี้หลายคนอาจะงงนะครับ เดี๋ยวผมยกตัวอย่างให้ง่ายๆ เช่น โรงงานชาเขียว มีเครื่องจักรผลิตชาเขียว 2 เครื่อง ถ้าผลิต ชั่วโมงละ 100 ขวด ต้นทุน 2,000 บาท ทุนขวดละ 20 บาท ถ้าเราผลิดเพิ่มหละเป็น 200 ขวดหละ ทุนลดลงไปเหลือ 10 บาท (ยังไม่รวมค่าวัตถุดิบเข้ามานะครับ) จากตัวอย่างนี้ จะเห็นแล้วค่าใช้จ่ายในส่วนของเครื่องจักรที่เป็น Fix Cost ทำไมต้นทุนที่ได้ถึงถูกลงครับ ถึงตรงนี้แล้ว ผมว่าหลายคนคงคิดว่ามันน่าจะดีนะ ถ้าเราทำให้ทุนมันลดได้ แต่ทำอย่างไร จากตัวอย่างที่ยกไป โรงงานอาจจะซื้อเครื่องจักรเพิ่ม (ถ้าในตลาดหุ้น อาจจะเป็นการขายหุ้นเพิ่มทุน เพื่อเอาเงินเหล่าเม่าไไปหาเรื่องจักรเพิ่ม) หรือปรับ Flow การทำงานแทน จากตอนกลางวันเป็นตอนกลางคืน เพราะ อากาศเย็นกว่าทำให้ไม่ต้องพักเครื่องบ่อยๆ หรือ จัดลำดับการผลิดของแต่ละหน่วยย่อยๆ เมื่อเห็นว่า Economy of Scale มีจุดเด่นอย่างนี้ แล้ว มันจะมีจุดตาย หรือไม่ ? มี ครับ เพราะ…

[PowerShell] Create Winform by PowerShell

หลังจากที่ได้ลองเล่น Power Shell มาสักพักแล้ว ผมมี idea ขึ้นมา เนื่องจาก Workshop ที่แล้ว ผมได้ทำบน Console ซึ่งอาจจะไม่สะดวกมากนั้น คราวนี้ผมลองสร้างเป็น Winform เล็กๆขึ้นมาแทนครับ(จริงๆ กะลองกับ C# ก่อน แต่มาเจอการใช้ประยุกต์ใช้งานแบบนี้ เลยลองมาเล่นก่อน 555) มาถึงตรงนี้หลายๆคนอาจะมีคำถาม ผมเลยทำ Q/A สรุปได้เลยครับ Q: Power Shell มีความสามารถในการสร้าง Winform ด้วยเหรอ ? A: มีครับ เนื่องจากตัว PowerShell เองมีพื้นฐานมาจาก .Net Framework ทำให้สามารถเรียกใช้ library ของ Winform ได้ครับ Q: ต้องสร้าง Power Shell จาก Command ตรงๆเลย หรือ ไม่มี Tools ลากวางแบบ Visual Studio ? A: มีครับ โดย Tools ชื่อ Power Shell Studio มีทั้ง Version Community(ฟรี) และ License(เสียตังค์) แต่ในบทความนี้ผมของ Hard Code นะครับ อิอิ ใน Winform ที่ผมเขียนขึ้น จะมี Control ที่จำเป็นต่างๆ ในการรับค่า Parameter ต่างๆ ได้แก่ Textbox กับ MaskTextBox และการแสดงผลนั้น ผมใช้ตัว DataGridView ครับ โดยหน้าตาของโปรแกรมที่ได้มีลักษณะ ดังนี้ หลังจากเห็น Output แล้ว เรามาลองดู Code ที่ละส่วนกัน…

[PowerShell] Getting File by File Version

powershell

จากบทความที่แล้ว ที่ได้เกริ่นสาเหตุของปัญหาไปแล้ว ว่ามี Program หลากหลายเวอร์ชั่นมากในการทดสอบ วันนี้ผมเลยได้ลองเขียน Code ในการหาไฟล์ .exe, ocx, dll ในโพลเดอร์ที่เก็บ Program ทั้งหมด ตาม Version ของลูกค้า และ ชื่อไฟล์ที่ต้องการทดสอบครับ โดย Code คร่าวออกมาเป็นประมาณนี้ครับ ผลลัพธ์ที่ได้ (ขอปิดชื่อไฟล์นิดนึง งานบริษัทและ)และสุดท้าย คือ แก้พวกค่า Path หรือเงื่อนไขต่างๆ ให้รับข้อมูลจากผู้ใช้เองเลย จะได้ไม่ต้องมาแก้ Code บ่อยๆครับ ดังนี้ ต่อไปจะเป็นการลองใช้ Code ชุดนี้ ไปประยุกต์กับ C# ทำ Application เล็กๆกันครับ

[PowerShell] เริ่มต้นจัดการปัญหาด้วย PowerShell

powershell

ไม่ได้เขียน Blog ซะนานเลย ช่วงนี้งานที่ทำงานเยอะขึ้น และขึ้นโปรเจคใหม่ด้วย ตอนนี้เข้าเรื่องดีกว่า เมื่อมี Program ก็ต้องมี Bug หรือ Defect เป็นของคู่กัน การตรวจสอบเคสที่มาจากลูกค้า เพื่อหา Bug หรือ Defect  และปัญหาที่พบว่า Program มี Version ที่หลากหลายมาก ทำให้การหาไฟล์ Program นั้นลำบากมาก แต่เมื่อมีปัญหา ย่อมมีโอกาสตามมา โดยผมลองใช้ Power Shell ในการแก้ปัญหาคร่าวๆ ลองที่ละ Step และท้ายที่สุด คือ การนำไปใช้ร่วมกับ C# เพือให้ง่ายกับการใช้งานครับ มาถึงตอนนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมต้อง Power Shell แล้ว ไอ้เจ้า Power Shell มัน คือ อะไร Power Shell คือ ชุดคำสั่งแบบ command line shell และ task-based scripting technology เพื่อใช้ช่วยในการจัดการกับระบบ (มองว่าเป็น dos-commandline เวอร์ชั้น Upgrade) เหมือนกับทางค่าย Open Source อย่าง Unix Shell หรือ Linux Shell อย่าง bash เป็นต้น โดยถึงแม้ว่าหน้าที่เหมือนกัน แต่การทำงานในส่วนลึกนั้นแตกต่างกันมาก โดยผมขอสรุปแยกไว้ ดังนี้ Unix Shell หรือ Linux Shell เป็นการทำงานผ่าน Raw Text Power Shell หรือ Windows Power เป็นการทำงานแบบ Object-based approach โดยมีพื้นฐานการทำงานมาจาก .Net Framework…

7 เทคนิคการเลือกหุ้น (ให้ได้กำไร ง่ายๆครับ)

7 เทคนิคการเลือกหุ้น (ให้ได้กำไร ง่ายๆครับ) หุ้นตัวนั้นต้องมีอัตรา ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) สูง 15-20%ขึ้นไป ROE จะบ่งบอกความสามารถของผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น “ยิ่งสูง ยิ่งดี” แต่บางครั้งก็มีตัวหลอก เหมือนกัน หากบริษัทนั้นมีหนี้สินจำนวนมาก ฉะนั้นต้องดูดีๆ อย่ารีบเชื่อทันที! หุ้นตัวนั้นต้องมีอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) สูงกว่า 10% ต้องมี PEG ratio น้อยกว่า 1 เท่า คือการเทียบค่า P/E ratio กับการเจริญเติบโตของกำไรสุทธิ (Growth) หาโดยเอาค่า P/E ratio ตั้งหารด้วยเปอร์เซ็นต์การเจริญเติบโตนั้น บริษัทใดที่ราคาหุ้นต่ำจะน่าซื้อ ถ้าค่า PEG ratio เกิน 1 แสดงว่าราคาหุ้นสูงเกินไป ต้องมีอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) อยู่ในระดับ 3.5-4% ขึ้นไป ถามว่าทำไมต้องเป็นตัวเลขนี้ เพราะเป็นตัวเลขที่มากกว่าอัตราเงินเฟ้อที่ปกติจะอยู่ระดับ 3% หุ้นตัวนั้นต้องมีกระแสเงินสดสูงๆ ยิ่งไม่ต้องจ่ายหนี้ “ผมจะชอบมากเป็นพิเศษ” ผู้บริหารต้องไว้ใจได้ (โปร่งใส) พูดแล้วทำได้จริง ซึ่งเราต้องไปคุยกับผู้บริหารบ่อยๆ ยิ่งเขา ถือหุ้น 20-25% ผมยิ่งชอบเพราะมันจะบ่งบอกว่า เขาจะทุ่มเทในการทำงานมากขนาดไหน จะดูปัจจัยทางกายภาพ ธุรกิจนี้มีความแข็งแรง มากน้อยแค่ไหน โอกาสเติบโตของรายได้และกำไรเป็นอย่างไร สินค้าหรือธุรกิจหลักจะเติบโตไปตาม ชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ และลูกค้านิยมชมชอบสินค้ามากหรือน้อยแค่ไหน ที่สำคัญจะดูว่า คู่แข่งของเขามีใครบ้าง หากจะมีคู่แข่งเกิดขึ้นใหม่จะเข้ามาในธุรกิจนี้ได้ง่ายหรือยาก “ผมไม่นิยมดูเส้นเทคนิคและไม่เคยนำมาประยุกต์ใช้ เพราะไม่เข้าใจในหลักการ ส่วนใหญ่จะดูเพียงราคา ณ ปัจจุบัน เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับมูลค่าที่ประเมินไว้ว่ามันมีส่วนลด (Margin of Safety) เป็นที่น่าพอใจหรือไม่ เช่น ถ้ามีส่วนลด 40-50% จากมูลค่าที่คิดไว้ ก็พอใจที่จะซื้อแล้ว” คุณหมอยังบอกด้วยว่า ตั้งแต่ใช้หลักการพวกนี้ ไม่เคยขาดทุนเลยครับ Credit:เล่นหุ้นตามเซียน

ทำไม Method หรือ Function ที่ดีควรมีความยาวไม่เกิน 1 หน้าจอ หรือ 20 บรรทัด หรือ กฏอื่นๆอีกมากมาย

สำหรับบางคนที่เพิ่งเรียนเรียน Programming หรือ เพิ่มเริ่มทำงานใหม่ๆ อาจจะสงสัยว่าทำไมอาจารย์ หรือ พี่ที่ทำงานถึงมีข้อกำหนดในการเขียน Code ขึ้นมา ซึ่งบางข้ออาจจะดูไม่จำเป็นเลย เช่น หากเรามองแค่ผิวเผินแล้ว อาจจะคิดในใจว่าต้องการความเป็นระเบียบ ให้ Code สวยงาม เพื่อที่เรา หรือคนอื่นมาเขียนต่อภายหลังได้ง่าย แต่ถ้ามองลึกๆลงไป มันอาจจะเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งก็ได้ ซึ่งแฝงไปด้วยแนวคิด และทฤษฏีที่ซับซ้อน โดยผมจะอธิบาย แต่ละข้อเลยยะครับ ข้อแรก Method ที่เขียนขึ้นมาควรจะไม่เกิน 20 บรรทัด หรือ แสดงไม่เกินไม่เกิน 1 หน้าจอ หากเรามองลึกลงไป ทำไมต้องไม่เกิน 20 บรรทัด หรือ 1 หน้าจอ ซึ่งแนวคิดนี้จะลึกให้เราต้องกำหนดการทำงานของ Method ให้กระชับ และมีหน้าที่เดียว ข้อสอง การกำหนด Tab เยื้องของ IF ELSE และไม่ควรมี IF ซ้อนกันเกิน 3 ชั้น ทีมีการกำหนดให้แสดงการกำหนด Tab เยื้องของ IF ELSE เพิ่มความสวยงามแหละ และแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของ code มองง่ายๆ เลย ถ้า Code ทีเราเขียนขึ้นมามี IF ซ้อนกันเยอะแล้วเนี่ย แสดงว่า logic ภายใน method นั้นมันซับซ้อนเกินไป ซึ่งจะมีผลกับการ maintain code ในอนาคต ถ้าเกิดมีการเพิ่มเงื่อนไขลงไปอีก แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันจะไม่ไปกระทบกับ IF เดิมๆ ที่มีอยู่ก่อนแล้ว แนวทางแก้ไข ทางแก้ไขมีง่าย แต่มีศัพท์เรียกรวมๆว่าการ Refactor Code แต่เราจะ Refactor อย่างไร มีแนวคิด และแนวคิดที่เข้ามาช่วย ดังนี้

ลงทุนด้วยหลักกาลามสูตร

ตอนแรกหลายๆคนอาจจะงงว่าไอ้หลักกาลามสูตร มันเอาประยุกต์ใช้กับการลงทุนได้ด้วยเหรอ ? ส่วนตัวผมจริงๆหลักการนี้มันปรับใช้กับทุกเรื่องได้ครับ ไม่จำเป็นต้องเป็นหุ้นหรอก แต่ผมอยากจะเตือนเม่ารายใหม่ที่ตามมาเล่นหุ้น เพราะ คิดว่ามันได้เงินเยอะ มันหอมหวาน แต่อีกด้านของมันขาดทุน เจ๊ง (จริงๆผมก็มือใหม่นะ เพิ่งเล่นมาจริงๆ ประมาณ 5 เดือนได้เอง) มาเข้าเรื่องดีกว่า “ลงทุนด้วยหลักกาลามสูตร ” อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา >> ไปเชื่อโพยหุ้น โดนไม่ได้ศึกษาพื้นฐานหุ้นนั้นก่อน อย่าเพิ่งเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบๆ กันมา >> ซื้อหุ้น เพราะ เมื่อก่อนหุ้นตัวนี้ มีอายุในตลาดมาอย่างยาวนานนน อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ >> ช่วงนี้เทรน Solar Farm (ปี 2557)หุ้นอะไรเล่นข่าวนี้ราคาขึ้้นหมด แต่อย่าลืมตรวจสอบข่าวด้วย อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา >> อันนี้เจอกับตัวเลย เพิ่งหัดดูกราฟ เห็นมี Pattern ตามนี้เลย ตัวสินใจซื้อปรากฏได้หนาวบนดอยแทน อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง >> มันเหม่งๆนะ แล้วก็ขายหมู หรือ Cutloss ไป หรือซื้อเพราะสัญชาตญาณ อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา >> อันนี้มือใหม่น่าจะเจอราคา เช่น หุ้น GU 3 บาท อีก 2 เดือน ราคาไป 9 บาท เลยตัดสินใจซือ เพราะ คิดว่าอีก 5 เดือนมันจะไป 24 บาท (เคยมีรุ่นน้องมาถามจริงๆนะ 55) อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ >> อันนี้ไม่มีอะไรแนะนำา พยายามตรวจสอบข้อมูลให้มันรอบด้าน อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตน อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้ >> ช่วงนี้ Fanpage กลุ่มหุ้น โผล่กันเป็นดอกเห็ด ว่าแต่อันไหนจริง อันไหนหลอกหละ ลองคิดกันนะ อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา >> ช่วงนี้มีอบรมสร้าเงินล้านมากมาย แต่ยังไงอย่างหลงเชื่อหน้ามืดตามั่วลงทุนตามที่คนสอนบอกนะครับ ควร Cross Check หาข้อมูลก่อน ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุด…

ข้อคิดก่อนลงทุน

ข้อคิดก่อนลงทุน การวางแผนการลงทุน คือ การวางแผนเพื่อให้การลงทุนบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ บนความเสี่ยงที่รับได้ คำถามก่อนจะลงทุน 1. เป้าหมายของการลงทุน เราต้องถามตนเองว่า เราลงทุนเพื่อวัตถุประสงค์ใด เพราะเป้าหมายที่ต่างกัน จะนำไปสู่รูปแบบการลงทุนที่แตกต่างกัน ในระยะเวลาที่แตกต่างกัน เช่น เราจะลงทุนเน้นผลตอบแทนสูง หรือ เน้นการคงอยู่ของเงินต้น เราจะลงทุนเพื่อเป็นรายได้ประจำยามเกษียณ หรือเป็นการ เก็งกำไรระยะสั้น 2. ระดับความเสี่ยงที่รับได้ เรารับความเสี่ยงได้มากขนาดไหน หากลงทุนผิดพลาดเรายังมีเงินสำรองไว้ใช้ หรือมีแหล่งรายได้ใหม่เข้ามาอย่างสม่ำเสมออยู่อีกหรือไม่ บางคนลงทุนในตลาดหุ้นแล้วนอนไม่หลับ กังวลอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ต้องปรับรูปแบบการลงทุนให้เข้ากับวิถีชีวิตของเรา 3. ระยะเวลาในการลงทุน แต่ละคนอาจจะมีความจำเป็นต้องใช้เงินในเวลาที่แตกต่างกัน คนหนุ่มสาวที่จะเก็บเงินเพื่อใช้ในวัยเกษียณย่อมมีเวลาลงทุนอย่างเหลือเฟือ สามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ( RMF) และกองทุนหุ้นระยะยาว ( LTF ) เพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วย ขณะที่พ่อแม่ที่จะเก็บเงินส่งลูกเรียนต่างประเทศในหนึ่งปีข้างหน้า อาจต้องหลีกเลี่ยงการลงทุนที่มีความเสี่ยง หรือขาดสภาพคล่อง 4. ความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ลงทุน เรามีความรู้ในหลักทรัพย์ที่จะลงทุนขนาดไหน รู้ปัจจัยและแนวโน้มที่จะมีผลกระทบต่อการลงทุนหรือไม่ ถ้าไม่รู้จะหาความรู้ได้ที่ไหน ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้มากเพียงใด ถ้าเรายังไม่มั่นใจ ขอแนะนำให้ลงทุนผ่านกองทุนรวมก่อน หรือขอคำชี้แนะจากผู้รู้ที่เราไว้ใจ 5. ผลตอบแทนที่ต้องการ คนส่วนใหญ่มักมองเรื่องนี้เป็นประเด็นแรก แน่นอนว่าทุกคนย่อมอยากได้ผลตอบแทนที่สูงที่สุด แต่สุดท้ายผลตอบแทนก็จะถูกกำหนดโดย ความเสี่ยง , ระยะเวลา และเป้าหมายการลงทุน ดั่งสำนวนที่ว่า high risk , high return อยากได้มากก็ต้องเสี่ยงหน่อย เมื่อเรารู้คำตอบทั้ง 5 ข้อแล้ว เราย่อมสามารถลงทุนได้อย่างมั่นใจและมีความสุขมากขึ้น เครดิต thaifinancialadvisor

สูตรหุ้นราคาเบรค โวลุ่มเบรค บัวพ้นน้ำ ยกไฮยกโลว์ ตั้งลำ ดั้งเดิม คือ อะไร

มีใครเคยตั้งคำถามเหล่านี้มั้ย? สูตรเหล่านี้มีที่มาอย่างไร? 1.หุ้นราคาเบรค200วัน คือ 2.หุ้นโวลุ่มเบรค200วัน คือ 3.สูตรบัวพ้นน้ำ คือ 4.สูตรยกไฮยกโลว์ คือ 5.สูตรตั้งลำ คือ 6.สูตรดั้งเดิม คือ คำถาม 1.หุ้นราคาเบรค200วัน คือ และ 2.หุ้นโวลุ่มเบรค200วัน คือ ? คำตอบคือ…หุ้นเบรค 200 วัน แบ่งเป็น 1.ราคาเบรค 2.โวลุ่มเบรค หุ้นราคาเบรค 200 วัน: หมายถึง หุ้นที่มีราคาขึ้นไปสูงสุดในรอบ 200 วันทำการ (ประมาณ 1 ปี) คนที่ติดหุ้นตัวนี้มานานเป็นปี ถ้าไม่ได้เป็นนักลงทุนแบบ VI หรือไม่ได้คัททิ้งไปก่อนหน้านี้ ก็จะทำการขายแล้ว วันนี้เป็นวันที่ทุกคนกำไรหมด ได้ลงจากดอยกันซะที คนทั่วไปเข้าใจว่า ควรขาย แต่บางคนกลับ อยากซื้อ นี่เป็นความคิดที่ทำให้ คนทั่วไป ต่างจาก เซียนหุ้น หุ้นที่เบรค 200 วันได้ แสดงว่า หุ้นตัวนี้ต้องมีดีอะไรบางอย่าง ไม่งั้นทำไมรายใหญ่จึงยอมกวาดซื้อหุ้นทั้งหมดที่ราคาสูงขนาดนี้ วิธีหาหุ้นราคาเบรค 200 วัน ก็คือ เปรียบเทียบราคาย้อนหลังไป 200 วันทำการ ถ้าพบว่าวันปัจจุบันมีราคาสูงสุด หุ้นตัวนั้นก็คือ หุ้นราคาเบรค 200 วัน หุ้นโวลุ่มเบรค 200 วัน: หมายถึง หุ้นที่มีโวลุ่มสูงสุดในรอบ 200 วันทำการ (ประมาณ 1 ปี) ซึ่งโดยปกติแล้ว หุ้นจะเบรคราคา 200 วัน พร้อมๆ กับเบรคโวลุ่ม 200 วันไปด้วยกัน แต่ก็มีบางกรณีที่เบรคราคาไปก่อนแล้วค่อยเบรคโวลุ่มในวันถัดมา หรือเบรคโวลุ่มไปก่อนแล้วค่อยเบรคราคาในวันถัดมา สำหรับกรณีหลังเราต้องตรวจสอบว่า เกิดจากการซื้อขาย Big lot หรือไม่ ถ้าเป็นการซื้อขายปกติในตลาดก็จะน่าสนใจกว่า โดยอาศัยทฎษฎีเทน้ำลงแก้ว สมมติเราเอาแก้วมา 1 ใบ…

[C#] Struct VS Class

struct- object อยู่บน stack – มี default constructor เสมอ ไม่ว่าจะมี custom constructor หรือไม่สร้างก็ตาม- value type- รู้ life time ของ object (out of scope) -มี Method (ในภาษา C จะไม่มีนะ)class- object อยู่บน manage heap- ถ้ามี custom constructor จะไม่มี default constructor- reference type- ไม่รู้ life time ของ object เพราะ GC จะเป็นตัวจัดการ