- งานนี้เริ่มต้นจาก Facebook Page AgileThailand มีแจกบัตร ผมกดทันรอบแรกนะ วิ่งอยู่ในฟิตเนสพอดี 555 จากนั้นมีแจกบัตรอีกหลายรอบ รวมถึงมีกิจกรรมต่าง เช่น การเป็น Speaker หรือ จะ Blog สรุปก็ได้นะ
- การเดินทาง
- มาถึงงาน
- Agile in Bitkub (เก่ง Bitkub)
- Agile Discovery ชอบ ไม่ชอบตรงไหนบอกที by Na ExxonMobil
- - Agile Discovery
- หวย online กับ agile (Infinitas by krungthai)
- Theory of Constraint ทฤษฏีการอยู่คู่กับข้อจำกัด by Salah Chalermthai
- Remote First Internal communication
- Misalignment ภัยธรรมชาติของ Team Agility by Pam&Amp
- จบงานและ
- Blog ของท่านอื่นๆ
- Reference
การเดินทาง
- ปีนี้สะดวกดีครับ นั่งสองแถวจากบ้าน และ MRT บางขุนนนท์ และยิงยาวมา ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ครับ
มาถึงงาน
- ตอนแรกมาถึง 8 โมงคิดว่ามาเข้าและ มีคนมาเช้ากว่าอีก งานนี้มีคนสนใจเยอะมากครับ
- สำหรับงาน Model งานบุญ ผมชอบคำนี้ของคุณปอมนะ มีอะไรทุกคนก็ช่วยกัน และแกแชร์เรื่องของการก้าวออกมาออกกำลังกาย มันต้องเริ่มจากเปลี่ยนคำว่า เราไม่ไหว ทำไม่ได้ ค่อยตั้ง Goal เริ่มจากที่ละนิด โดยมี อ ชัชชาติ เป็น Inspiration และใครสร้างแรงบันดาลใจได้นะ
Agile in Bitkub (เก่ง Bitkub)
- เริ่มต้นเหมือนชมรมคอม โตมาเรื่อยๆ ขยับขยายที่ตั้งย้ายที่มา จนมาถึงที่นี่ FYI Center
- พนักงาน 10 คน มา 1600 คน (Customer Support 800 คน)
- รายได้ปีแรก 30 ล้าน > 300 ล้าน และ ปี 3 3000 ล้าน โตประมาณ 100 เท่า ซึ่งเป็นการโตมาจากปรับวิธีคิดให้ตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงที่ไว ถ้าทำแบบเดิมเราจะไม่สามารถ Growth โดยการ Growth แบ่งได้ 3 State ดังนี้
- State แรก War time
- คน เงิน เวลา จำกัด นึกภาพเกม Survival ที่แบบต้อง ประกอบเครื่องบินให้ทันหนีจากการล้มตาย การบริหารช่วงแรก take control / no time ดังนั้นต้องการคนสั่'การได้ดี และคนทีรับคำสั่งได้ตลอดเวลาต้องคิด Strategy ว่าอะไรที่สำคัญที่สุดสำหรับสร้างองค์กร ไม่ทัน Layoff / ตายจากไป (อย่างตัว ฺBitkub เคยเกือบถึงจุดที่ funding เหลือ 2 เดือน ต้องปรับ Strategy กับ Deal กับ Investor ให้ทัน)
- State 2 Scale-up
- ให้รายได้เยอะ แต่ capacity ต้องรับได้ด้วย ตัว Bitkub ต้องสั่งปิด Exchange เพราะเรื่องนี้ (Ref: ก.ล.ต. สั่ง Bitkub แก้ไขระบบให้ทำได้ตามระดับบริการที่ตกลงไว้หลังระบบล่มหลายครั้ง) 70 ชั่วโมงที่ไม่ได้พัก ทำให้ระบบมัน scale ได้จากช่วงนั้น max สุด 40,000 คน
- Git Commit ที่แก้ใน 70 ชม นั้น เทียบเท่ากับที่ dev มา 6 เดือน ต้องมี mindset ที่แบบใจพร้อมกายพร้อมเราทำได้
- ผู้บริหาร ปรับตัวเพื่อ capture growth ให้ทัน ไม่ต้องงกและ ปรับ mindset รับคนเพิ่ม server
- State 3 Peace Time
- ปรับองค์กรให้เป็น long-lasting company แม้ว่า founder ไม่อยู่และ ยกตัวอย่าง Walt Disney
- ปรับ culture จากเดินคนบอกเวลา เป็นคนสร้างนาฟิกา ใน Agile จะเป็น Self Owner ship/ self organization มีคนมาสานต่อเจตนารมณ์ได้ต้องหา right people / right time
- NOTE: Keyword War time / Peace Time ลองดู CEO ยุคสงบ ปะทะ CEO ยุคสงคราม | Mission To The Moon EP.1574 - YouTube กับ CEO: The Peacetime VS Wartime เพิ่มได้ครับ
- สุดท้ายนึกถึง bitcoin คิดถึง Bitkub
จากนั้นเป็นช่วง pitch เนื้อหาของ speaker สั้นๆ คนละ 20 วินาที และอธิบายกฏ
- Unconference
- Open space คนที่มาคือคนที่ใช่ สิ่งไหนเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ เริ่มเมื่อพร้อมจะเริ่ม จบเมื่อพร้อมจะจบ
- Law of two feet: ถ้าพบว่าตัวเองไม่ได้สนใจ เรียนรู้ หรือ ทำประโยชน์ได้ สามารถใช้สองเท้าพาตัวเองไปที่อื่นได้ โดยไม่เป็นการเสียมารยาท
- หัวข้อที่แชร์กันในงาน
- สำหรับหัวข้อที่ผมได้เข้าฟัง มีตามด้านล่างนี้เลยครับ
Agile Discovery ชอบ ไม่ชอบตรงไหนบอกที by Na ExxonMobil
- Transformation Cycle - Discovery จุดเริ่มต้นการทำ transformation
- Intake ทำไปทำไม ได้อะไร
- Readiness check พร้อมไหม
- Discovery ทำความเข้าใจ มีปัญหาอะไร
- Deliver เริ่มเปลี่ยน
- Support ทำให้เกิด sustain continuous improvement
- Handover ส่งต่อให้คนในองค์กรดูต่อไป (กรณีที่เป็น Consult)
- Intake
- Stake Holder Overview
- step แรก change management ใครกระทบ เดิมมีปัญหาอะไร แก้ pain point ไหม จริงๆ agile ช่วยไหม แต่ละ role มองในมุมที่ไม่เหมือนกัน
- แล้ว goal ที่อยากได้ คือ อะไร
- Obstacles ปัญหาที่มี อยากได้อะไร
- Assumption อะไรที่เป็น fact อะไรเป็นสมมติฐาน
- Self Assessment ตรวจสอบ 2 มุม
- Knowledge - จาก training วัดเน้นให้เกิด self-refection โดย
- รายบุคคลทำ Test จาก Open Assessments | Scrum.org จะได้รู้จริงๆว่าเข้าใจจริงไหม
- Team Assessment ตกลงการวัดก่อน เช่น มุมที่สนใจ Outcome / Ability to Improve และ Speed จากนั้นมีคำถามให้วัดในแต่ละมุม
- แต่ต้องลองทำให้เกิด Experience เพราะบางทีรู้แล้ว จะได้ปรับวิธีการทำให้ดู (Mentoring) จากนั้นให้ลองทำ และ Feedback วัดจากการ สัมภาษณ์ พูดคุย สังเกตุ การทำงาน
- Knowledge - จาก training วัดเน้นให้เกิด self-refection โดย
- หมวกที่ต้องสวม
- Teacher - สอน
- Facilitator - นักประสาน support ทุกฝ่าย
- Consult - ดูบอกปัญหา และ Recommend
- Mentor ทำให้ดู จากนั้นให้ลองทำ
- Coach พัฒนาคน
- Q&A
- Q:Training ถ้าเริ่มใหม่ๆเลย Training ถึงขั้นไหน
A: เริ่มจาก basic agile mindset ก่อน และจากนั้น role เจาะตาม framework - Q: ยกตัวอย่างแบบปัญหา top 3 ของ agile
A: 1. ใช้ไปนานๆ ทำ agile เป็น process / 2. เปลี่ยนไปทำไหม meeting ดูเพิ่ม งานดูเยอะ / 3. People / 4. Pull งานไม่ได้ตาม priority ต้องมาปรับการทำงานทำข้อตกลงก่อน
- Q:Training ถ้าเริ่มใหม่ๆเลย Training ถึงขั้นไหน
- Readiness check
- Purpose เรามีเป้าหมายเดียวกันไหม
- Expectation ทำได้จริงไหม เช่น เอา Agile 3 เดือน แล้วเร็ว 3 เท่า มัยทำได้จริงไหม มันจะกลายเป็นว่า ถ้าไม่ตรง Expectation จะผิดหวัง และอาจจะทำให้ Transformation ไม่รอด
- Commitment - จะทำได้ไหม เช่น จะสร้างกล้ามเนื้อเรามีเวลามา gym ไหม
- Investment - มีเงิน เวลาไหม
- Motivation - พร้อมไหมมม
- Note
- Agile ทำให้คนปรับเร็ว ต้องดูงานว่าวิธีการเดิม Serve need ไหม เช่น งาน routine มี solution และ อาจจะไม่ต้องไปรับมันนะ
- Agile ไม่ใช่การแจกงาน และทำงาน Priority ไม่ make sense
- Agile Discovery
- จาก Intake + readiness รู้ Current State ต่อไป
- Research เก็บข้อมูล จาก
- ต้องเลือก persona ให้ถูก และ อย่าเอาความคิดตัวเองใส่ลงไป
- User Interview ให้เข้าใจ Goals / Pains / Gains ของแต่ละกลุ่ม อาจจะทำเป็น Open Question และบางทีเราจะได้ Solution จากคนในองค์กรเองแหละออกมา หรือได้ Insight เน้น Anonymous สบายใจจะพูด
- Gemba walk เข้าไปดูสังเกตุการณ์ go see / ask why ให้รู้ก่อนมาดูทำไหม / show respect เคารพกับทีม
- Note ตอนนี้อาจจะเจอแบบว่าคนอายุงานเยอะ ไม่อยากใช้ agile เค้าไม่อยากเปลี่ยน ต้องจูนให้เข้าใจเป้าหมาย และรู้ว่าเปลี่ยนเพื่ออะไร ดีอย่างไร คนไม่เข้าใจ the why / why we have to change
- Synthesis grouping หา Goals / Pains / Gains จาก Research มา ตอนทำ อาจจะใช้ post it จับ quote เป็นกล่องๆ จะได้มา Grouping ได้
- Why
- What
- How
- Report Out - บอกจุดที่ต้องปรับปรุง / gap / positive evident
- Report out with user journey ยกตัวอย่างองค์กรที่แบ่งคนมาเทรน หลายกลุ่ม
- แต่ทว่า Feed-Back แต่ละรอบต่างกัน แยกเป็นกลุ่มทำให้ไม่เข้าใจตรงกัน กลุ่มหลังๆ ที่เข้ามาทำไมต้องมาในจุดนี้ด้วย รู้สึกว่าไม่ Stable
- สุดท้ายแก้ยังไง set vision mission ให้ชัดเจน เพิ่ม sense of purpose มีกลยุทธ์ชัด และทำ Team Builder
- Role and Responsibility ที่สำคัญที่สุด Agile Team
- Transformation via System thinking Lens - Balancing Loop มุมมองการนำเสนอข้อมูล Cause and Effect ถ้าไปปรับ Node เพิ่มขึ้นจะมีผลอะไรบ้าง
หวย online กับ agile (Infinitas by krungthai)
- Fact ของพัฒนาหวยออนไลน์ (เป๋าตังค์)
- งานร้อน 1.5 เดือน (รวมวันหยุด)
- Project ที่ Impact มากๆ กับทุกคน
- มาแบบวิธีพิเศษไม่ได้ผ่าน Process แบบราชการปกติ
- ระบบเดิม จองสลาก ที่เป็น monolith ที่ design มาจองสลาก แต่มันไม่รู้จัก digital lotto scale แตะไม่ได้
ระบบใหม่ microservice + blockchain - Stack Holder ผู้ซื้อ (เป๋าตังค์) / ผู้ขาย (ถุงเงิน) / กองสลาก(ระบบหลังบ้าน) / KTB (Payment Gateway+การผูกบัญชีขึ้นเงิน) เป็นต้น
- ตัวสลากมันต้องมีตัวจริงนะ กฏหมายมันบังคับ
- Agile แบบ Adapt ตาม Constraint ข้างต้น
- เริ่มต้นยังไง ?
- Domain Driven Design หา Domain ที่เกี่ยวข้อง แยกออกมา 7 ส่วน
- จากนั้นจัดทีม 7 squat ให้เสร็จใน 1 วัน key ผู้บริหารให้อำนาจเต็มที่ ใช้เท่าไหร่ได้หมด
- ปรับอะไรไปบ้าง
- Start with LeSS (Large-Scale Scrum framework) ตอนแรกผมก็สงสัยเหมือนกันว่ามัน คือ อะไร ลองอ่านเพิ่มได้ครับ 3 อย่างที่ทำให้ผมเข้าใจ LeSS. Scrum primer เล่าว่า… | by Chokchai Phatharamalai แต่ต้องปรับเปลี่ยนจาก framework เดิม เพราะงานเร่ง
- เครื่องมือ
- Miro board - รวมทุกอย่างหมด ทั้ง brain storm / flow / plan / API / document
- Discord - การสื่อสาร
- Requirement
- เอา Happy Flow มากางคุยให้เห็นภาพตรงกัน
- BA กับ Dev มาคุยเพิ่ม Case แปลก หรือ Technical Case อื่นๆที่อาจจะเกิดขึ้น
- Daily Sync ใน Discord ทุกคน 30 นาที 100 คน ยากนะ คนละ 20 วินาที ท้าทายไปนะ ปรับอย่างไร ?
- กำหนด Key Man มา Facilitate
- เอา Lead BA DEV มาคุยและให้คนอื่นมาเสริม เช่น อาจจะถาม Dev ทุกดูมาเพิ่มเลยจะเรียกว่า Scrum of Scrum ก็ได้นะ
- พอเอามาคุยด้วยกันสั้นๆ จะให้เห็นภาพเข้าใจตรงกัน
- Role + Response ปรับ skill + cross function
- ไม่มี scrum master ใช้ pm แทน
- BA - Test ตรงเลย อาจจะผ่าน Postman
- Dev - ต่อรอง Requirement
- QA - App Design + Message Code เน้น Manual Test เพราะมันเร่ง รอบหลังๆมาเพิ่ม Automate
- Integration Problem ทำไมหละ
- เข้าใจไม่ตรงกัน
- Communication Gap
- Deploy และ
- เปิดขายวันแรก 16 June ซ้อม 5000 ขายจริง 5 ล้าน
- Social Media Monitoring Tool ที่น่ากลัว - บาง Bug Report จากตรงนั้น
- Retro ทำหลังปิดงาน มีทั้งด้าน
- ดี เช่น รู้ DevOps ทั้ง Flow / Value สุดๆ ผูกบัญชี คนมาเปิดบัญขีเยอะ
- และไม่ดี Burn Out งานเผา แก้ยังไง long vacation 15 day++ (อันนี้ดีส่วนตัวไม่ค่้อยได้เท่าไหร่ หลังเผางาน) / reward จากผู้ใหญ่มาเลย / workcation หรือจัดกิจกรรมอื่นๆ
- ปิดท้ายและ
มัน Agile ไหมนะ Agile การปรับเปลี่ยน มันเข้ากับหลัก ดังนี้
- Individual and interaction - ลด Process ได้ตัดหมด
- Work Software - ไม่ได้มีเอกสารเยอะแยะ
- Customer Collaboration มีการให้ End User ลองจริงๆ เช่น ผู้พิการ
- Responding to Change - อ้าวให้ขายเพิ่ม มีการปรับระบบ ทำได้
- Lesson Learn
- Team work
- Leader - senior และ middle management ต้องการตัดสินใจ ที่เร็ว ช่วย และ Support
- Trust - ในทีม และระหว่าวทีม
- Customer Centric
- Expectation - เข้าใจ management และ management เข้าใจเราด้วย
- Motivation - ต้องส่งให้ทีม ให้รอดภายใน 1,5 เดือน
- Q&A
- Q: Integration เจอปัญหาทำอย่างไร
A: แก้โดยเอาทุกคนมาไล่ Flow ใน Discord และถาม และทีม - Q: ปัญหาใหญ่ที่สุดที่เจอ
A: Technical View monolith > microservice และบางทีไปลองหน้างานเจอปัญหาแปลก Test เองไม่เจอ แต่ลูกค้ามีอะไรแปลกจนมาพบว่า bandwidth ไม่พอ เป็นต้น
Business View การสแกนสลาก ใข้แบบดิจิตอลไม่ได้นะ มันติดกฏหมาย - Q: คุม spec ยังไง ?
A: มีโครงที่เป็น resource กลางขององค์กรยังไง API Standard / Coding Standard - Sprint นับไง Dev Sit UAT - mini waterfall
- Q: Scrum of Scrum มี dependency และ conflict จัดการยังไง
A: ให้คุยกันตรงนั้นระหว่าง Daily Sync หรือ หลังไมค์ได้นะ หรือไม่คุยทีม lead เองได้
Theory of Constraint ทฤษฏีการอยู่คู่กับข้อจำกัด by Salah Chalermthai
- เป็นส่วนนึงการทำ Lean Thinking โดยที่ Lean goal - remove waste / increase customer value / continuous improvement / respect for people
- 7 Wastes of Lean
- Motion - action ที่ไม่จำเป็น และเกิด value โรงงานลด flow การเดินทาง
- Transportation
- Over Production ทำมาเกิน ไม่มี requirement เกิด waste
- Defect
- Waiting - รอแล้วไม่ได้วาน
- Over Process - ทำมากความจำเป็น
- Inventory -
- 7 Wastes of Lean (Software)
- Motion / Transportation - meeting ไม่จำเป็น / algorithm logic
- Over Production - waterfall
- Defect - bug
- Wait - รอทุกอย่าง buttock
- Over Process - over engineer เอา tool มาใช้แล้วไม่คุ้ม เป็นต้น หรือทำมาเกินไป เช่น PenTest ทำทุกรอบตอน Test ข้างใน (คนในมุม Sec มาอ่านจะบ่นไหม 55)
- Inventory - work not release ไม่เกิน value
- ทุกองค์กรมีข้อจำกัดของตัวเอง แล้วเราจะทำอย่างไรทีจะอยู่กับ Constraint ได้
- จาก Clip the fastest way to empty a bottle ตัว Constraint คือ ปากขวด ที่น้ำไหลออกช้า เพราะอากาศเข้าไปแทนที่ไม่ได้ (มี chaos อยู่) โดยวิธีเทน้ำออกมี 3 แบบ
- เปิดฝา - เทตรงๆ
- หมุนระหว่างเท
- ใส่หลอด - กำหนดทางให้อากาศเข้าไปได้
- ทั้ง 3 วิธีเราแก้ปัญหา โดยอยู่กับ Constraint หมดนะ จะมองว่า Constraint เป็น bottleneck
- กลับมาโลกของเรา ต้องมาดูภาพรวมว่า bottleneck อยู่ที่ไหน เช่น develop / test โดยวิธีการ
- Identify Constraint / bottleneck ก่อน
- Exploit Constraint ทำให้ bottleneck flow ที่สุด จนทำให้ให้มันเต็ม Capacity ของมัน อย่างตัวอย่างขวดน้ำ จะเป็นการหมุนระหว่างเท ถ้ามองเป็นการทำงานเหมือนจุนให้ทำไปใน Alignment เดียวกัน ทางเดียวกัน หรือจะปรับpull system - รอให้ bottleneck พร้อม และดึงงานออกมา)
- Subordinate Constraint ปรับกระบวนอื่นๆ ให้สอดคล้องกับ bottleneck ที่ปรับไปอย่าทำอะไรให้ขัด constraint
Note Local optimize ตัวเองอยู่ - ทำไปแล้ว Flow งานเดิมมันยุ่งยาก หรือป่าว กลายเป็นเพิ่ม Constraint ใหม่ขึ้นมา - Elevate constraint / de-bottleneck ทำให้ Constraint ลดลงหายไป ช่วงแห่งการลงทุน อย่างตัวอย่างขวดน้ำ เอาหลอดไปขวด หรืองานจริงของเราจะ เพิ่ม Server / skill คน
- Repeat step ไปแก้ bottleneck อื่นๆ
- ตัวอย่างเคสอื่นๆ
- Software - bottleneck ส่วน Test ใช้เวลานาน การปรับเอาตัว Automation มาช่วยลดเวลา ลด Manual อย่างรอให้งานมา หรือ Shift Left ขอให้ dev ช่วยทำ unit test
- Operation - มี Data + Insight ขึ้นมาแล้ว มีคำแนะนำ แต่ไม่ใช้งานริง เพราะ คนที่ทำ Operation มองว่าไปเพิ่ม process ของเค้าอีก ไม่มีเวลาดู ถ้าจะ Improve ได้ ต้องไปช่วยเค้าแก้ปัญหา bottleneck ที่ไม่มีเวลาดูก่อน แล้วค่อยมา Improve งาน Operation ต่อ
- Business Process
- ตัวระบบ Payment Gateway ต้องมา Reconcile ว่าเงินเข้า ออกเท่ากันไหม บัญชีต้องตรวจสอบก่อนว่าเงินเท่ากันนะ ถึงจะโอนต่อได้ ตรงนี้ Inventory ขึ้น ถ้าปรับแนวคิดใหม่ ถ้าเงินโอนมา มากกว่าเงินที่ต่างจ่ายออกไปให้เดิน Flow ไปก่อน แล้วมา Reconcile อีกที
- งานบัญชีมันต้องเป๊ะๆ ถ้าเงินเกิน 0.05 ต้องหาที่มาให้ได้ มันทำให้เสียเวลา หรืออาจจะเกิดการรอขึ้น อันนี้ policy มาถ้าจำนวนไม้เกินเท่านั้น เท่านี้ ให้ leave ไป
- General Case การรอคิว ถ้ารอนานๆไม่ดี เรารู้ bottleneck แล้ว บอกเวลาประมาณไหม หรือบอกลูกค้าไปเลยว่าปิดรับแล้ว ลูกค้าจะได้ไม่เสียเวลารอ แล้วค่อยหาวิธีการมาเพิ่ม Capacity
Remote First Internal communication
- Why Email
- ข้อดี สรุป หลักฐาน คนมาที่หลังก็อ่านได้
- ข้อเสีย ไม่ได้อยู่ใน Loop Mail หรือ Reply ยังไงไม่รู้หลุดจาก Conversion เดิมไป
- Resource
- Guide to Internal Communication, the Basecamp Way - สำหรับตัว Basecamp ตัวองค์กร engineering first เรื่องการสื่อสารทำไปทำไมได้ Product ออกมาเลย Basecamp: Project Management & Team Communication Software
- GitLab Communication | GitLab
- เมื่อไหร่คุย เมื่อไหรพิมพ์ จาก basecamp -
- ข้อ 1 ถ้าไม่อยากสื่อสาร จะเป็นการสื่อสารรูปแบบนึง
- ข้อ 2 พยายามทำงานให้มันเป็น async ใช้ textbase เช่น chat/document ลดงาน realtime เพราะใช้เวลาไม่จำเป็น
ข้อ 15 communication ไม่จำเป็นต้อง sync เอาที่จำเป็นสั้น และชัดเจน
NOTE: เคส time zone แก้ยังไง - กำหนดเวลาที่ติดต่อได้มา - ข้อ 3 ในการสื่อสาร พยายามเขียนที่ทำให้ละเอียด จด memo อย่างใน GitLab document everything live จะเปิด google doc ให้ทุกคนเขียน doc ร่วมกัน และการประชุมบอก agenda ชัดเจนใช้เวลาเท่าไหร่
- ข้อ 4 ฉุกคิดสักนิดก่อนตอบ เพราะอิงข้อ 26 การรีบตอบไป อาจจะนำมาซึ่งหายนะ ยกตัวอย่าง เคสอาจารย์ชัชชาติที่ไปตรวจสำนักการระบายน้ำถามถึงลอกคลอง พอเจ้าหน้าตอบเป็นไป โดนแขวนเลย หรือ ถาม dev ใช้เวลาเท่าไหร่
- ข้อ 5 meeting เป็นทางเลิอกสุดท้าย เพราะ อ้างอิงข้อ 13 meeting เวลาที่ใข้โดนทุกคน
- ข้อ 6 chat ไหล อะไรที่สำคัญก็ไม่ควรอยู่ใน chat นะ ควรสรุปและย้ายไปที่อื่น สรุปสั้น ชัดเจน ทำไมถึงเลือก และมี trade-off อบ่างไร
- ข้อ 7 พูดช่วยให้เข้าใจ ณ เวลานั้น แต่เขียนจดไว้ จะอยู่ได้ยาวกว่า อย่าง Gitlab มี wiki และ guideline การจดไว้ หรือทำ KM
- ข้อ 8 เสริมจากข้อ 7 ระวังเรื่องของการตีความ ทำให้การเขียนมัน clear ชัด นิยามให้ชัดเจน เช่น unit test / integration test นี่แค่ไหนนะ ? หรือตัว requirement มี example ประกอบ
- ข้อ 9 อย่าคาดหวังให้ใครตอบทันที เว้นแต่จะฉุกเฉิน
- ข้อ 10 ย้ำตัวเองในเรื่องใหม่ๆที่ได้ทำ ไม่ใช่ทำแบบเดิม และผิดแบบเดิมไปเรื่อยๆ พอฟังหัวข้อที่ Theory of Constraint อะไรที่เป็น Waste โผล่มาเต็มตอนนี้ 555
- ข้อ 11 commincationที่แย่ๆ สร้างภาระ
- ข้อ 12 ปัญหาไม่ใช่การสื่อสาร แต่ความเข้าใจไม่ตรงกัน เช่น Definition of Done คือ อะไร ? อันนี้น่าจะต้องมี Step ในตรงลง protocol หรือทวนความเข้าใจกันไหม
- ข้อ 14 แยก fact กับส่วนขยายให้ชัดเจน
- ข้อ 16 now มันทำไม่ได้ แต่ควรรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ต้องการ เช่น งานด่วน แต่ด่วนที่ใช้จริงไหม หรือด่วนแล้วคิดไม่ครบ Flow
- ข้อ 17 พยายามหาคำตอบด้วยตัวเองก่อน ตามอย่าไปจี้ มองไปข้อ 7 ได้นัที่ต้องมีข้อตกลง และ KM กลาง
- ข้อ 18 อะไรที่ไม่มั่นใจอย่าเพิ่ง Commit คิดก่อน พรุ่งนี้มันผลมันอาจจะคนละแบบกับที่คิดไว้เมื่อวานก็ได้
- ข้อ 19 แต่ละคนมีการสื่อสารไม่เหมือนกัน เช่น บางคนเป็น Introverts ตอบน้อย หรือไม่ตอบเลย แต่เราต้องค้นหา หรือถาม เพื่อให้ได้คำตอบที่ชัดเจน แต่ถ้าไปถามจี้ตรงๆมันแปลก พยายามสร้างปฏิสัมพันธ์ให้มากๆ เพื่อให้มันไหลลื่น
- ข้อ 20 ลองดูว่าบางเรื่องจำเป็นต้องสื่อสารไหม - คิดก่อนพิมพ์ บางคำอาจจะแรงไป
- ข้อ 21 คำว่า ด่วน ด่วนที่สุด ไม่ม้อยู่จริง ดูตาม priority หรือ value ที่เกิด
- ข้อ 22 สงสัยให้ถาม clear เงียบๆไปเดวลืม
- ข้อ 23 นิยามคำที่ใช้ ว่าแค่ไหนอย่างไร
- ข้อ 24 สื่อสารให้ถูกเวลา อะไรที่รอได้ มัน Link ไปกับข้อ 20 นะ อารมณ์แบบสั่งวันศุกร์เอาพรุ่งนี้ หรือที่ Peak ของผม โดนอยู่ ส่ง Merge มาศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ....
- ข้อ 25 บอกข่าวดี กับข่าวร้ายให้ทิ้งช่วงกันนิดนึง หาช่วงเวลาให้เหมาะสม จะได้ไม่บั่นทอนกำลังใจของทีม
- ข้อ 27 ไม่คุยปากเปล่า เพราะมันจะเพี้ยนไปเรื่อยๆ ระหว่างส่งสารต่อ
- ข้อ 28 ทำให้ clear ให้ชัด หรือมี gap assumption อะไร
- ข้อ 29 / 30 เลือกวิธีสื่อสารให้ถูกที่ ถูกเวลา ลด overhead ให้น้อยสุด
- Basecamp work - พยายามสร้าง single source of truth ยกตัวอย่าง เช่น
- Automatic weekly บอกว่าสัปดาห์จะทำอะไร
- Automatic Daily - วันนี้ติดอะไร บ้าง
Note: พวก Automate อันนีใช้ Bot เหมือนได้ยินว่า Slack มี ดังนั้น MatterMost น่าจะมี - Reflect every 6 week heartbeat สรุปว่า release นี้มีอะไร
- Project every 6 week แล้วอนาคตอีก 6 week จะทำอะไรต่อ
- Announcement แจ้งให้ทั้งองค์กร
Resource พี่ที Share มีเขียน Blog ด้วยครับ ไปตามกันได้ การสื่อสารภายในองค์กรยุคใหม่หลัง Work From Home จะเป็นอย่างไร | by Apipol Sukgler | golfapipol.me | Medium
Misalignment ภัยธรรมชาติของ Team Agility by Pam&Amp
- เคยเจอเหตุการณ์อะไรไหม ?
- Dev บั๊กน้อยดี / QA บั๊กเยอะ ดี
- Mkt ขาย Dev เผา Feature
- Ops(Infra) ปกป้อง server / Dev อยากทำจะ Deploy
- A รองาน b แต่ b ทำไม่เสร็จ
- ทุกคนเอางานมาให้ทีมนี้ทำหมด 55
- PO อยากให้ Feature ออก แต่ Dev อยากให้เนี้ยบ.. Refactor / Test เพิ่ม
- Stand-up meeting เป็น status report
- Misalignment
- เริ่มต้นจากปัญหา คนคุมล้อ 4 ล้อ ทำอย่างไรให้ไปจุดหมายได้ ตัวอย่างอีกอันที่ผมนึกได้ แปรอักษร บนสแตนเชียร์ ทำอย่างไรให้ได้รูปออกมาตามความหมาย
- แนวทาง ต้อง planning ทำข้อตกลงร่วมกัน เพราะ Misalignment ตัวที่ขัดขาให้มันช้าลง หรือไม่สำเร็จได้
- Misalignment ทำไมถึงเป็นภัยธรรมขาติ
- มันห้ามไม่ได้ ได้แต่ป้องกัน นึกถึง Theory of constraint เลย ปรับและอยู่ร่วมกันมัน
- Misalignment มีแบบไหนนะ
- แนวตั้ง - goal หัวหน้า (ต้นน้ำ) - ลูกน้อง (ปลายน้ำ) ไม่ตรงกัน สิ่งที่ควรทำถามว่าทำไปแล้ว มันไปตอบอะไรกับองค์กร ตอบ goal mission อีก key ประนีประนอมให้เข้าใจตรงกัน เช่น UX อยากได้สวยๆ flow สะดวก แต่ Dev
- แนวนอน แต่ละ team goal ไม่สอดคล้องกัน เช่น Dev และ Ops (infra) หรือ QA กับ DEV
- Performance Measurement ของแต่ละ Team
- ทำให้เกิด Misalignment ขัดแย้งกันเอง เช่น Dev บั๊กน้อยดี / QA บั๊กเยอะ ดี
- พอเอาวิธีการแบบนี้มาทำ Dev ไม่เขียน code เลยจบ 555 หรือกันทุกอย่างจน Flow App มันเพื่อนๆ หรือ QA ไม่แชร์ Test Case เดี๋ยว Dev แก้เท่านั้น
- มาปรับมุมมองกันไหม เช่น
- Dev บั๊กน้อยดี / QA บั๊กเยอะ
ปรับ Goal และ Tester กับ Dev คุยกันแชร์ข้อมูลร่วมกัน และมาดูว่า Test Case อะไรที่ควรเพิ่ม หรือลด - Mkt ขาย Dev เผา Feature
ปรับ Mkt คุยกันถามสุขภาพ Dev ก่อน - A รองาน B แต่ B ทำไม่เสร็จ
ปรับ A คุยกับ B - Align goal ให้ตรงกัน B อาจจะเร่งทำให้ A หรือ อาจจะกลับกัน A มาช่วยงาน B ให้ทัน เพราะมันสำคัญกว่า - Standup meeting เป็น Status report
ปรับ Focus ที่งานตัวเองพอ หรือปรับชื่อเรียก Standup > Daily Planning อาจจะสื่อความได้ดีกว่า - สรุป คุยกัน sync ให้เข้าใจตรงกัน และ focus สิ่งที่ทำ
- Dev บั๊กน้อยดี / QA บั๊กเยอะ
- Goal vs Solution จุดทำให้ Misalignment ได้ง่ายที่สุด
- เพราะ Solution มามันเป็นแนวที่ช่วยทำให้ Goal สำเร็จ แต่เราจะยึดติดว่า Solution A ที่เลือกต้องทำให้ได้ Goal นี้ บางทีมัน Work แต่ใช้เวลามากกว่าวิธีอื่น
- การแก้ No Silver Bullet วิธีการที่ดีในเมื่อก่อน อาจจะไม่ Effective หรือ Work ในตอนนี้ เราเองจะไม่เห็นว่าตัวเองกำลังตกหลุมปัญหา ต้องให้คนอื่นมาช่วย Reflect
- Key Take Away - เมื่อไหร่ที่เราทะเลาะกัน มีโอกาศเป็นไปได้สูงและที่จะตกหลุม Misalignment ปรับโดย
- ปรับ Goal ให้ตรงกัน เพราะไม่มีอะไรที่สำคัญเท่ากันได้นะ
- เลือกทาง (Solution) ที่เข้าใกล้มากกว่า
จบงานและ
- สำหรับ Session ทีชอบที่สุด Theory of Constraint เพิ่มต่อมความเอ๊ะ / Remote First Internal communication ช่วงนี้เจอปัญหาจริงสื่อสาร และคนออกเยอะด้วย มันเลยแบบออกไป chat ไปด้วยจ้า ขอบคุณทีมงานทุกท่านที่จัดงานดีๆนี้ครับ
- ปีนี้ของกินเยอะ
- ของแจกก็เยอะ
Blog ของท่านอื่นๆ
- รีวิวและสรุปเนื้อหางาน Agile ในชีวิตจริง แบบไม่มีกั๊ก (ที่ตัวเองเข้า) #agilethailand2022 | by Parima Spd | Aug, 2022 | Medium
- Agile Thailand 2022 อไจล์ในชีวิตจริง… ฟังกลับมาเล่า ของคุณ Shishi Porames Tripeuch Part1
- Agile Thailand 2022 อไจล์ในชีวิตจริง… ฟังกลับมาเล่า ของคุณ Shishi Porames Tripeuch Part2
- 5 Topics จากงาน Agile Thailand 2022 ของคุณ Ponlawat Hongthong
- ถอดรหัสความสำเร็จของ Agile Thailand ผ่านเลนส์ของ Flight Levels | by Kulawat Pom Wongsaroj | Aug, 2022 | Medium
- Review มีเพื่อนเป็น Speaker ในงาน Agile Thailand 2022 | by Sarawuth Chinbenjapol | Aug, 2022 | Medium
- เต็มอิ่มสำหรับ Agile Practitioner ในงานบุญประจำปี “Agile Thailand 2022” | KBTG Life (medium.com)
- สำหรับ Blog ปีก่อนๆ ของผมเอง ดูได้ตาม Tag Agile Thailand เลยครับ
Reference
- Facebook Page AgileThailand มีคน Live ในเพจบาง Session ด้วยนะ เผื่อคนจะมาดูย้อนหลัง กับอีกทีอีกที Network Training Center
Discover more from naiwaen@DebuggingSoft
Subscribe to get the latest posts sent to your email.