Blog เรื่องนี้น่าจะใช้เวลาเขียนยาวที่สุดแล้วนะครับ มันเป็นการรวมประสบการณ์ และสรุปในมุมของผมนะครับ
ส่วน Question & Answer
Q: จำเป็นไหมที่เรียนสาขานี้ แล้วต้องจบปริญญาตรีด้าน Computer (IT, ComSci, ComEng) มา ?
A: ไม่จำเป็นครับ แต่ควรมีประสบการณ์ที่เกี่ยวกับการทำ Software จริงๆ เพราะ ตอนเข้ามาเรียนมีศัพท์ใหม่ๆเยอะมากกกกกกกกกกก ถ้าคนที่ไม่เกี่ยวกับ Domain ด้านนี้มาเรียน มางงแล้วไปยากครับ
- ผมเคยเจอคำถามว่า Server คือ อะไร ? / Log คือ อะไร ?
- ถ้าเรียนนอกเวลาด้วยแล้ว ต้องหาเวลาทวนที่สอน และเรียนรู้สิ่งที่ คนที่ทำงานเกี่ยวกับ Sofeware ควรมีครับ
- พอเรางงแล้ว มันจะมีปัญหาเรื่องงานกลุ่มครับ ที่นี่งานกลุ่มเยอะมากกก ถ้าเราตามเพื่อนไม่ทัน คนในกลุ่ม ไม่กล้าเสี่ยงที่ให้งานไปทำครับ เพราะ ไม่อยากมานั่งโต้รุ่งทำในส่วนที่ขาดไป
- หลังจากมืนเต็มที่แล้ว จะมีปัญหากับการสอบครับ
Q: มาเรียนคนเดียว หรือมากับเพื่อนดี ?
A: แนะนำให้มากับเพื่อนครับ เพราะ อย่างน้อยเราจะมี Buddy ที่เรารู้จักกันดี ในการทำงานกลุ่มครับ เพราะ ทุกคนมาจากหลากหลายทีครับ การจะจูนให้เข้าขานั่น ให้เวลาพอสมควรเลย สำหรับงานกลุ่มหนักในการเรียน Coursework ในช่วยปี 1 ครับ หลังจากนั้นเป็นงานเดี๋ยวแล้วครับ
Q: ภาษาอังกฤษ จำเป็นมากไหม ?
A: จำเป็นมากครับ เพราะ ทุกวิชามีการอ่าน Paper/Textbook ซึ่งตัว Paper/Textbook เป็นภาษาอังกฤษครับ (ส่วนตัวหงุดหงิดกับคนในกลุ่มเหมือนกัน ที่พยายามเลือก Paper ที่มีจำนวนหน้าน้อยๆ และไม่เอา Coding แต่เราเรียน Software Enginering นะ)
Q: งานกลุ่มมีเยอะไหม ?
A: สำหรับคนที่เรียนแบบนอกเวลาราชการแล้ว ทุกวิชาที่เป็น Coursework มีงานกลุ่มหมดนะครับ ไม่มีงานเดี๋ยว (แต่ถ้าเรียนในเวลา งานบางชิ้นอาจารย์ให้ทำเดี๋ยวนะครับ เพราะมองว่ามีเวลามากกว่าคนที่เรียนนอกเวลา)
Q: แผน ก หรือ แผน ข ดีหละ
A: ถ้าใครเรียนเพื่อทำงานจริงๆ ใจแข็งแผน ข ครับ เพราะ Scope งานอะไรน้อยกว่าเยอะครับ แต่ต้องระวัง
- Scope จาก อจ ที่ปรึกษาครับ บางที่แผน ข เหมือนแผน ก เลยครับ กดดันมากด้วย เคสผมไปเรียนแบบไม่ถามชาวบ้านเลย เลยไม่ค่อยรู้ Style ของ อจ ที่ปรึกษา แต่ละท่าครับ ถ้ารู้มาก่อนจากเพื่อน หรือ อะไร เค้าจะรีบหา อจ ที่ปรึกษาตั้งแต่เนิ่นๆแล้วครับ มาหาตอนหลังๆมันจะไม่ได้คนที่มีเหมาะกับเราครับ
- แต่ถ้าต้องการเรียน ป เอก ต่อ ยังไงก็ต้องแผน ก นะครับ
- ส่วนตัว ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ น่าจะคงเป็นแผน ข นะครับ เพราะรุนหลังๆ อจ หลายท่ายอมรับแผน ข แล้วครับ
Q: นอกเวลา ต่างกับ ในเวลาราชการอย่างไร ?
A: เดี๋ยวผมขอ List เป็นข้อๆ แล้วกันนะครับ
- ค่าเทอม แน่นอน ในเวลาราชการถูกกว่าครับ
- วิชาเรียน ถ้าเรียนในเวลาราชการมีวิชาให้เลือกมากกว่าครับ แต่ถ้านอกเวลาราชการ จะอารมณ์กึ่งบังคับ เพราะ บางวิชาเปิดปีเว้น ปีครับ ถ้าอยากเรียนก็ต้องรอครับ
Q: การติวหละ
A: อย่าทำแบบตอนเรียนปริญญาตรีมาเด็ดขาดนะครับ มาแบบหัวโล่งๆ การติว มันคือ การเติมเต็มครับ ควรเตรียมตัวมาก่อน เพราะ ถ้าเราอ่านเอง มันมีจุดที่หลุดไปแน่ๆ การติวเป็นการ Cross Check ครับ
Q: ทำงานไปเรียนไป เหนื่อยไหม
A: เหนื่อยมากครับ แต่ต้องดูที่ทำงานด้วย อย่างเพื่อนที่เรียนด้วยกัน บางคนงานชิวๆ แต่สำหรับ Developer อย่างผม เวลาไม่เคยพอครับ ต้องพยายามจัดให้เวลาเรียนกับเวลาทำงานมาชนกันครับ เวลาสำคัญมากครับ อย่างของผม เริ่มตัวเองก่อน ถ้าไม่มีงานกลุ่มอะไร จะเตรียมทำสรุปตั้งแต่เนิ่นๆเลยครับ เวลาสอบจะได้ไม่ติดปัญหาว่าทำ Term Project และก็สอบ
Q: ทำงานไป เรียนไป มีปัญหากับบริษัทไหม ?
A: มีครับ หลายเรื่องเลยครับ
- แม้ว่าจะแจ้งทีม แล้วว่าติดเรียนต้องมีสอบ ต้องนำเสนอหัวข้อ หรือ สอบจบ Thesis แต่ท้ายที่สุดเวลาที่กันไว้ โดนแทรกหมดเลยครับ จากเดิมเสาร์-อาทิตย์มาเรียนก็หนักอยู่แล้ว แล้วต้องมาทำงานวันแทนครับ
- หรือ แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ต้องรับผิดชอบ อย่างเช่น เคสของทีม Support ที่ไปปากลูกค้าทำงานมา แต่ไม่กล้าจะบอกที่บริษัทว่ารับมาแบบฟรี จนสุดท้ายเรื่องแดง ทางผมก็ต้องตกกระไดพลอยโจนไปกับเรื่องนี้ด้วย แถมโดยหลายรอบด้วย ปัจจุบันถ้าไม่จำเป็น ผมไม่อยาก Deal งานกับคนที่ก่อปัญหาเท่าไหร่
Q: เวลาเพียงพอไหม ?
A: ไม่พอครับ ถ้าไม่ได้แบ่งดีๆ ถ้าดูจากที่ผมบ่นเรื่องงานแล้ว Q&A แบ่งเวลาให้งานแล้ว อย่าลืมดูครอบครัวด้วยนะครับ ของผมเจอช่วงนึงคุณแม่ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล ต้องมาดันให้เรียนจบกันไปครับ
Q: เข้ามาแล้ว มีลาออกไปไหม ?
A: มีครับ อย่างรุ่นผมที่เข้ามาตอนเทอม 2 เข้ามา 10 คน แต่หลัง Midterm ของเทอมแรกผ่านไป เหลือ 4 คน (น่าจะเป็นแล้วแต่รุ่นนะครับ) ถ้าลาออก ไม่เรียนแล้วควรแจ้งเพื่อนๆในกลุ่มที่เราทำงานด้วยนะครับ เพราะมันมีผลกับการแบ่งงานนำเสนองาน จากประสบการณ์ส่วนเจอคนที่แบบว่าอยู่ๆหายไปเลย ทำให้ต้องมาเผางานส่งกับในคืน หรือ ก่อนจะ Present เลย
Q: หน้าที่การงานกับการเรียนปริญญาโทหละ ?
A: ส่วนตัวมองว่า การเป็น Junior กึ่ง Senior แล้วมาเรียนจะเหมาะสมที่สุดครับ เพราะ เวลาเราเรียนไป เวลาเดินไป และหน้าที่การงานของก็ก้าวหน้าขึ้นไปครับ
- อย่างเคสของผม ไปๆมาๆ หน้าที่การงานเพิ่มขึ้นจนได้กลับบ้านช่วง 3 ทุ่มกว่า ถึง 4 ทุ่ม จนกลายเป็นเวลาปกติที่เลิกงานของผมในช่วงปี 2018 ครับ
- อีกทางนึง คือ เลือกบริษัทที่สนันสนุนการเรียนครับ ถ้าให้ทุนได้ยิ่งดีเลยครับ
Q: งานกลุ่มหละ เป็นไงบ้าง เจออะไรแย่ ดราม่าไหม
A: คนมาจากหลายที่ครับ ยังไงเรามีโอกาสเจอคนที่ดีมากๆ และคนที่แย่สุดๆ
- บางครั้งเราต้องเป็น Leader นะ เพราะ ถ้ามีคนเก่ง แต่ไม่มีคน Lead ปัญหา คือ งานจะไม่เดิน หรือเดินไปกันคนละทาง
- อะไรที่ทนได้ ทนครับ อย่าดราม่ามาก กลุ่มไหนไม่ดี เราก็เปลี่ยนกลุ่มครับ คิดไว้ว่างานกลุ่มทำไปไม่ได้เงิน อย่าไปเครียดกับมันมากครับ
- งานกลุ่ม อย่าลืมทำ check list นะครับ ส่วนตัวเคยทดลองในวิชานึงรอบแรกทำ check list เอาไว้ใน Google drive กับไม่ทำ ปรากฏว่า งานที่ทำ Check List ดูตรงกับความต้องการของ อ มากกว่า ส่วนแบบที่ 2 งานไปคนละทิศทางเลย
- เอ็นดูเขา เอ็นเราขาดครับ ผมเองเคยเจอเคสที่ว่ามีคนที่ไม่ช่วยงานกลุ่มเลย เน้นงาน Thesis ตัวเอง สุดท้ายเค้าจบ 2 ปี ส่วนเรา 3 ปี เซ็งมากๆครับ
- งานกลุ่มจำนวนคนมีความสำคัญนะครับ - อย่างกลุ่มผมมีสมาชิก 5 คนทำงานได้จริง 4 คน กลับกลุ่มที่มีสมาชิก 6 คน ทำงานทุกคน เนื้องานมันต่างกันมากครับ
ข้อคิดอื่นๆ นอกจากในส่วน Q&A
- Project Management เรียนแล้วเอามาปรับใช้จริงด้วยนะ เพราะหลายๆครั้ง เราไม่สามารถเห็นปัญหาอะไรที่เป็น Critical Path ได้ แล้วมาเป็นหมีแพนด้ากันช่วงใกล้สอบ ทั้งที่ความจริง มันมีเวลาว่างเยอะมากกกกกก ในการจัดการ แต่ไม่เอาเวลานั้นมาใช้งานให้เหมาะสม
- งานเอกสาร - หัดได้หัดครับ เพราะมันมีต้องทำรายงาน ไม่ได้เน้นสวยนะครับ แต่เน้นความเป็นมืออาชีพ อาทิ เช่น การจัดเลขหน้า และ
- เรียนปริญญาโทแล้ว - แบ่งเวลาให้เป็นด้วยนะครับ เคยเจอบางคนเรียน กับไม่เรียนพฤติกรรมเหมือนเดิม มันจะซวยที่งานกลุ่มนี่แหละ เช่น อยากไปงาน Concert ถ้ารู้ว่าตัวเองมีกำหนดการณ์อยู่แล้ว ควรจะทำงานให้เสร็จ แล้วบอกสมาชิกลุ่ม ไม่ใช่หายไปจนเพื่อนที่เหลือมานั่งเผาทั้งคืน
- เรียนทีนี้ก็ดีอย่างนึงนะ เพื่อน อจ ไม่ได้สอน/เรียนอย่างเดียว มีสังเกตุด้วย ว่าใครเป็นยังไง ช่วยๆกันครับ
ทำ IS หรือ Thesis ภายใต้รอยยิ้มนั้นมีน้ำตาซ่อนอยู่
- ที่มาของหัวข้อมีหลายแบบครับ
- หัวข้อที่ทำต่อจากเพื่อน/รุ่นพี่ ถ้าคนก่อนหน้าทำไว้ชัดเจน สามารถต่อยอดได้ง่ายครับ
- แต่ถ้าทำไว้แต่ไม่ชัดเจน อันนี้ลำบากครับ ส่วนตัวมองว่าของตัวเองจะเข้าข่ายเคสหลังครับ ต้องมาเขียนคำอธิบาย และทวนงานเก่าเยอะอยู่ครับ
- หัวข้อที่ อจ คิดไว้แล้ว อันนี้ง่าย แต่ต้องคุม Scope
- หัวข้อที่คิดเอง - อันนี้คุยกับ อจ ยากนิดนึง ต้องอธิบาย
- สุดท้ายขึ้นกับ Scope ครับ ว่าระว่างทางนิ่งไหม หรือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หรือ วนไปวนมา
- บางคนทำเรื่อง
- ที่ไม่ชอบ แต่มันเป็นแนวที่จบง่าย เพราะไม่มีใครทำกัน มันก็เลยจบง่ายสอบสะดวกก็มี
- ทำเรื่องที่ชอบ แต่โดนบิตๆ Scope ไปจนไม่ชอบ
- หรือ บางคนได้ทำเรื่องที่ชอบ และมี Passion ในการทำกับมันครับ
- ยังไงก่อนเลือก อจ ที่ปรึกษาตรวจสอบ ถามเพื่อนๆพี่ๆที่ทำมาก่อนนะครับ
- งานเอกสาร - ทำของตัวเองให้ดีนะครับ ไ่ม่ใช่ทำชุ่ยๆ แล้วเอามาสร้างภาระให้ อจ หรือ ให้เพื่อนที่ อจ บอกให้ช่วยตรวจมาตรวจทาน มันอ่านแล้วหงุดหงิดมาก
- การนำเสนอ - ได้ถูกบังคบัให้ทำครับ พูดดีช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจง่ายด้วยครับ อย่างผม จะเจอปัญหาว่าผมคุยกับคอมได้ดีกว่าคนครับ ตอนนำเสนอลำบากอยู่ 555 แต่เรื่องนี้สำคัญจริงๆนะ เพราะเพียงคำพูด การนำเสนอบางคนกรรมการลด Scope ให้ แต่ถ้าพูดไม่ดี Scope มันจะเพิ่ม หรือ โดนคำถามเยอะครับ
- ภาษาอังกฤษ - นอกจากอ่านแล้ว เรื่องการเขียนก็สำคัญนะครับ อย่าลืมนะ ว่าต้องมีการเขียน Paper เพื่อนำเสนอในงาน Conference หรือ เขียน Journal
- พวกที่หายไปหลายนานๆ แล้วโผล่มาเวลาสุดท้าย อันนี้คุณควรเกรงใจคนอื่นที่เค้าเข้าคิวทำงานเรื่อยๆมาตามปกตินะ มันกลายเป็นว่าคุณไปแทรกคิวคนอื่น และอาจจะทำให้ อจ และคนอื่นต้องมาร่วมลำบากดันคุณให้จบไปด้วย
- เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด
- เพื่อนร่วม Lab ตามได้ ควรตามระดับนึง ไม่ต้องตามมาหรอก โตแล้วควรรับผิดชอบได้แล้ว
- อย่างผมแอบเซ็งเหมือนกันที่ไม่กล้าขอ อจ อีกรอบ เพื่อให้จบเร็วขึ้นอีกเทอม เพราะมันมีเคสของเทอมถัดมาที่มีเพื่อนลองขอหลายรอบแล้ว อจ ยอมสำเร็จประหยัดเงินไปได้เยอะอยู่ครับ
สำหรับผมแล้วท้ายที่สุดที่ได้เรียนมา
- ถ้าย้อนเวลากลับไปได้คงเลือก แผน ข และถ้าย้อนเวลากลับไปได้อีกคงไม่เรียนครับ เพราะ
- สิ่งหนึ่งที่พบในการพัฒนา Software เรื่องของคนครับ มันใช้ Soft Skills มากกว่าในการจัดการปัญหาครับ เอาเรื่อง Technical เข้มๆไปคุยมนช่วยไม่ได้นะบางครับ
- ใช้เวลาเรียนมากกว่าที่คิด มันเสียเงินมากกว่าที่วางแผนไว้ ทำให้แผนการจัดการเรื่องเงินของผมบิดเบี้ยวไปในส่วน 3-4 ปีนี้ครับ
- ได้รู้จัก
- เพื่อนใหม่ สังคมใหม่ และโลกที่กว้างกว่าเดิม ได้เห็นอะไรที่มากกว่าโลกที่ตัวเองเคยอยู่ครับ อย่างผมเนี่ยได้เจอโลกหลายใบเลยครับ กับคนมาจากหลายหลากอาชีพครับ
- เทคโนโลยีใหม่ หรือ หัวข้อใหม่ๆ อย่างผมนอกจะเชี่ยวเรื่อง Testing ยังไปเชี่ยวด้วย BPMN Engine อีกครับ ก็ต้องลองดูครับว่าในไทยจะมีงานด้านนี้ หรือป่าวครับ
- Limit ของตัวเอง ที่ควรรู้ว่าอะไรควรถอย อะไรสู้ต่อ ต้องมีการวางแผน และจัดสรรเวลา
- หัดนำเสนอ / ทำ Slide ซึ่งมีประโยชน์กับงานที่ทำด้วยครับ
- สรุปเขียน Blog แชร์ประสบการณ์ต่างๆ ที่เรียน ป โท
Discover more from naiwaen@DebuggingSoft
Subscribe to get the latest posts sent to your email.