สรุป National Coding Day 2023#01

สำหรับวันนี้จัดไกล BITEC บางนาครับ ผมที่อยู่แถวสายใต้ใหม่ ข้ามมุมเมืองกันเลย ตอนเช้ามา ผมมีหลงไปแถว True Digital Park 5555 และค่อยมาหาทางมา ฺBITEC อีกทีครับ สำหรับหัวข้อที่ได้ฟังในวันแรกมีดังนี้ครับ

สำหรับวันที่สองดูจาก Blog นี้ สรุป National Coding Day 2023#02

The Future of DevSecOps is Platform Engineering

ตอนนี้ Gartner Hype Cycle - เทรนมันจาก DevOps > DevSecOps > Platform Engineering จากเดิท Silo Team (Dev Ops Sec) แต่มีปัญหา Shift left ให้เกิด DevSecOps Culture

  1. Remove Bearer
  2. Shorten ลดระยะเวลาการ Delivery Code
  3. Faster - feedback
  4. Secure

นอกจากคนก็ tools เข้ามาข่วยให้เกิด DevSecOps เกิด composition เช่น เอา Code เข้า VCS (git) และทำ CI/CD Pipeline งาน Automation ต่างๆ เข้ามาเป็นต้น

ทำให้ DevSecOps Culture เกิดยังไง ?

  • หา advocation team มา Guide และสร้าง culture ขึ้นมา
  • หา Tools ที่เกี่ยวข้องมาประกอบให้ components แต่ละขึ้นมา cncf landscape
  • มี Tools แล้ว หน้าที่ใครทำหละ Whose Responsibility Dev Ops คือ อะไร
    1. Dev + Ops
    2. Dev + DevOps + Ops
    3. ให้ Dev นี่แหละทำ Ops ทำไมมันคุ้นๆกับตัวเอง 55
    4. ให้ System Admin มาสวมหมวกDevOps
  • พอเอาคนมา พยายามเกลี่ยงานออกมาลงตัว อาจจะเริ่มการเพิ่ม Specialist เข้ามา เพื่อมาแนะนำ
  • จาก Specialist กลายเป็น Platform Engineering Team (Dev Sec Ops + Specialist)

Evolution of DevSecOps Culture ซึ่งจะเริ่มต้นจาก

  • Ad-Hoc - ต่างคนต่างทำ
  • Proof-of-concept - เริ่มทำใก้เป็น Org-Wide ลอง Pliot และเกิด Lesson Learn
  • Org-wide Adoption - ปรับใช้ DevSecOps เหมือนกันทุป Team ทั้งองค์กร และมีการติดตามสิ่วที่เกิด
  • Sustained & Repeatable จะเป็นส่วนของ Platform Engineering ทำให้มันยั่งยืนมก้องค์กร
  • Optimized DevSecOps & Site Reliability Engineering (SRE) นำ Feedback จาก metric จากส่วนต่างๆ มาปรับให้กระชับ

พอดูจาก Level แล้วอจะคล้ายกับ Maturity Level ของ CMMI เหมือนกันนะ

Platform Team ทำอะไร ?

  • ทำให้ทุกอย่าง automation ไม่ใข้งาน adhoc โดยควรเป็น self service ซึ่งทีม Platform เข้าไปทำในส่วนของการ Platform ใหม่ เช่น มี Tech Stack ชุดใหม่ หรือ เป็นการสร้าง Instance จาก Platform เดิม

Team topology ทาง Speaker ยกมา 2 ค่าย

  • แบบ1 Product Team (BA Dev QA…) / Platform Team และ SRE NOTE: DevOps เป็น Culture.
  • แบบ2 มาจากหนังสือ Team Topology Platform Team (สีเขียว) ช่วยทำให้ Stream-aligned Team (สีเหลือง Product Team ทำแต่ละ Feature) ทำงานได้สะดวกขึ้นครับ ส่วน Complicated-Sub-System Team (สีแดงอ) และ Enable (สีม่วง)

ต่อไปเป็น Demo อันนี้ผมจะนึกถึง Related Blog LET’S BUILD A DEVELOPER PORTAL WITH BACKSTAGE ครับ และ Slide เห็นแว๊บๆที่หน้าแรก สุดท้ายแล้ว เราทุกคนอาจจะต้อวกลับไปดูว่าองค์กรที่ตัวเองทำงานอยู่ Maturity ระดับไหน

งานพิธีต่างๆ

  • ต่อไปจะเป็นงานในส่วนพิธิเปิด และ Recap สิ่งที่เกิดขึ้นปี 2022 ของสมาคมโปรแกรมเมอร์ไทย เหมือนได้ยินแว็บๆ มี Programmer ประมาณ 100K ทั่วไทย แต่ Trend ของ Programmer ใหม่ต่อสัดส่วนประชากรลดลง มีน่าเงินเดือนเลยเยอะ สำหรับหน้าที่อื่นๆของสมาคมดูได้จากเว็บของสมาคมได้เลยครับ
  • เพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวมี podcast ด้วย เอาไปฟังตอนวิ่งได้ นอกจากนี้ทางสมาคมมีโครงการดีๆจัด meetup dev camp เป็นต้น อ๋อเหมือนได้ยินว่าจะมีงานวัน Reskiil Dev แห่งชาติ ช่วงสิงหาปีนี้ด้วยนะ
  • และสุุดท้าย Coding ภาษาที่สาม ต่อจากภาษาอังกฤษ

เสียดายท่านชัชชาติ ติดภาระกิจ ว่าจะเล่น meme bug ที่แข็งแกร่งที่สุด อดเลย เป็นตัวแทนจาก กทม มาเปิดพิธิครับ
ปล. ดูข่าวเต็มๆได้จาก จบลงไปแล้วกับตำนานบทใหม่ของชาวโปรแกรมเมอร์ไทย กับงาน “National Coding Day 2023” งาน Tech ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย (mgronline.com)

Let's Code Thailand X Coding Era by PMU-B

ตอนนี้มีกลุ่ม DMAP เป็น Global Network มาปรับจูนได้ทำเป็นมาตรฐาน เหมือนกับชาวโลก คุยกันในช่วง APEC ดูยิ่งใหญ่มาก ตัวอย่างที่การทำมห้เป็นมาตรฐาน เช่น

Note บพค จะส่งเสริมทุกด้านนะ ไม่ได้เฉพาะ Coding อย่างเดียว ฟังแล้วมันดูทับซ้อนกับหน่วยงานเดิมไหม ? ภาพตอนนี้มองเหมือนพี่เลี้ยว เชื่อมกับหน่วยต่างๆ ในการสร้าง เรียนรู้ และต่อยอด เป็น startup

พักเที่ยง

สำหรับใน BITEC เท่าที่ถามน้อง Staff มาจะมีโรงอาหารอยู่ที่ชั้น 1 และ 3 เลยครับ ที่สำคัญสามารถจ่ายผ่าน QR Code ได้เลย ไม่ต้องแลกบัตรด้วย //แอบรู้สึกว่าโรงอาหารมันใหญ่ที่กว่าศูนย์สิริกิต์

ISO ที่บริษัท Tech มีอะไรบ้าง แตกต่างกันอย่างไร by ISEM

ตอนนี้นอกจาก ISO มาตรฐานที่เราต้องรู้แล้ว มีหัวข้อเพิ่มเติมในส่วนของกฏหมายด้วยครับ สำหรับ ISEM เป็นองค์กรที่สามารถพัฒนาคน / พัฒนาผู้ประเมิน / ให้มาตรฐานขององค์กรได้ด้วย

  • Certification Body (CB) - หน่วยรับรอง อิงตามตัวมาตรฐานเลย
  • Accredited Body (AB) - หน่วยรับรองระบบ เข้าใจว่า มัน คือ CB แต่ Specific ลงไปตาม Field นั้นๆ

ในไทยมีมาตรฐานอะไรบ้าง

  • มาตรฐาน CMMI สาย Software Engineering มีทุนของ Software Park
  • ISO 29110-4-1 for Software Development - งาน Dev เค้าว่ากันว่า Lightweight
  • ISO 29110-4-3 for Service Delivery - Implement Package ดูแลหลังการขาย
  • ISO 9001 - Quality Management System ดู Governance ขององค์กร
  • ISO 27001 Information Security Management System (ISMS)
  • PDPA ตอนนี้กฏหมาย แต่มีหลายที่มาทำเป็น Rule หรือเอามาตรฐานให้เคียงมา Apply อย่าง ISO 27701 เพื่อใช้ Audit
  • ISO/IEC23053 ทางฝั่ง AI / Big Dataก็มีด้วยนะ
  • AUN-CIC ของมหาวิทยาลัย เป็นมาตรฐานด้านการศึกษา
  • มีแปลก ๆ อย่าง ISO14001 อย่างตัว Carbon Credit

ได้ยินแว๊บๆว่าถ้าองค์กรส่งคนมาพัฒนาด้านนี้ หรือผ่านมาตรฐานจะได้สิทธิด้านภาษีด้วยนะ และเป็น Requirement ของ TOR ภาครัฐด้วย

นอกจากมาตรฐานแล้ว คนทำ Software ต้องมาดูด้านกฏหมายด้วย หลักๆ จะเป็น

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในไทย - ตาม Flow เลย

  • SME-GP เอา Product เราไปทำเป็น Catalog ให้หน่วยวานภาครัฐเลือก
  • DEPA-Digital Provider แจ้งว่าองค์กรเรา ตอนนี้ผ่านมาตรฐานอะไรแล้ว

ประเทศไทยจะเปลี่ยน User เป็น Maker ได้อย่างไร ?

  • ของที่เราเห็นจนชิน แต่มองมุมใหม่ วิธีการใหม่ นี่แหละ startup ไม่ต้องใช้ tech ขั้นสูง หา pain point แก้ให้เกิดผลลัพธ์ที่ user ต้องการ แค่นี้เราเป็น maker ได้นะ เช่น หัวไช้เท้าไม่สวย ไม่มีคนซื้อ เราเติม Emoji น่ารักใส่เข้าไป ไม่ซับซ้อน ใช้ทุนด้วย

ที่สำคัญการจะเปลี่ยน user เป็น maker ฝึก เอ๊ะ กับสิ่งที่เราพบเจอในปัจจุบัน จริงๆผมจะนึกถึงอีกคำ อิหยังวะ !!! แล้วมี passion ในการแก้ปัญหา

  • สมาคม Thai Startup มาเป็น One Stop Service ช่วย indexing + matching + ecosystem แต่ยังมีอุปสรรคที่ขวางอยู่ 7 อัน ที่สำรวจ ตามลำดับจากมากสุดไปน้อยที่สุด ดังนี้
    - Funding - เงินทุน
    - Technical Talent มี Idea แต่ขาดคนมาช่วย ถ้า IT ก็ DEV นี่แหละ
    - Revenue Model
    - Management Capability
    - Rule & Regulation
    - Government Procurement - จัดซื้อจัดจ้าง แต่หลังๆภาครัฐพยายามขยับอยู่
    - และ Market นึกถึง Make in Thailand ช่วยกันซื้อ

ทําไมทำ Agile เท่าไหร่ ก็ไม่ถึงใหนสักที by Agile Community

Session นี้คนแน่นมากกกกกก คนล้นห้องเลยครับ น่าจะเป็นปัญหาที่ทุกคนเจอกันมั่ง ฮ่าๆ

ทําไมทำ Agile เท่าไหร่ ก็ไม่ถึงใหนสักที

  • พี่รูฟ: เราจะเป็น Agile Organization แต่เราไม่ได้วางแผน ต้องมี Measurement ทั้งในส่วน ฺBusiness และ Engineering ยกตัวอย่าง DOLA Metric ที่มี 4 Metric ได้แก่ Mean Lead Time for Changes / deploy frequency / Mean Time to Recovery / Change Failure Rate
  • พี่ปอม: เราไม่ทันคิดว่าทำ เพื่ออะไร ได้อะไร มันเลยมีปัญหากับการทำ Measurement บางที่อาจจะตามเทรน หรือยานแม่ให้ทำ แต่ไม่ได้รู้ เข้าใจว่าทำแล้วมีเป้าหมาย + ตัวชี้วัดอะไร ในแง่ธุรกิจ หรือตัว product เป็นต้น

Agile Transformation ?

  • พี่ปอม: แผนชัดเจน แต่ทำแบบ Waterfall ในการ Transform ฟังแล้วดูย้อนแย้งจริงนะ
  • พี่รูฟ: พอเริ่มต้นแรก เราไม่รู้ว่าจะทำอะไร สิ่งที่ทำไปดู Model ที่ Transform แล้ว work เลิอก copy มาให้ แต่ทว่าเรามีปัจจัยหลายอย่างที่ต่างกัน ของต้นฉบับ และองค์กร มันต่างกันนะ ต้องมาดูว่า
    1. Inspire ได้ แต่อย่าลอกมาทั้วดุ้น
    2. Consult เราเป็น Agile หรือยัง ? //นั้นแสดงว่า เราต้องมีความรู้พื้นฐาน หัดเอ๊ะ ถกถามกับ Consult
  • พี่ปอม: อีกเคสที่เจอ ทำไปแล้ว มันเกิด แต่ทว่าไปเกิดที่อื่นแทน ที่เดิมที่อยู่ เราทำเต็มที่แล้วไม่ไหวจริงๆ ดังนั้นต้องเข้าใจพนักงานของเรา และเพิ่ม Enabler ในองค์กร ไม่ให้เกิดการ Block/ขวางทาง
  • พี่รูฟ: ดัวนั้นเราต้อง Reorganize โครงสร้างด้วย
  • พี่ปอม: ส่วนแรกๆที่ปรับนอกจาก Dev แล้ว อาจจะเป็น HR ด้วย ปรับส่วนอื่นๆแล้ว ทาง HR หรือส่วนอื่นๆขององค์กร ไม่ควรมาขวางเหมือนกัน
  • พี่รูฟ: management อีกทีมควรเข้าใจ ทีมแรกที่เริ่ม แล้วทำด้วย มีบางทีเริ่มทำก่อนเลยย
    //อ้าว บ ตัวเองโดน ทำแล้วมันมีอิหยังแปลกๆอยู่นะ

ทำ Agile แล้วงานมันเยอะมากเลยยย ?

  • พี่รูฟ: เราต้องจินตนาการว่าทุกบริษัทเป็น Software Company เข้าใจ Nature ของมัน จะได้เห็น dependency เห็นปัญหา แล้วก็วนมา management ลงมาเห็นปัญหา แล้วรู้ว่า คนทำงานติดปัญหา และต้องการความข่วยเหลือ //เหมือนเถ้าแก่ดูลูกน้อง
  • พี่ปอม: Agile จริงๆ เชื่อม Business กับ Dev ให้ smooth เข้ากัน ทำให้ common goal ร่วมกันทั้ง 2 ฝาย คนทำงานจะได้ไม่โดนไฟครอก

เราต้องเลือก ให้ทุกอย่างมาถูกที่ถูกทาง เพราะ เวลามีเท่าเดิม เรามีสองมือ

  • พี่รูฟ: agile outcome คือ people ได้คนที่เก่งขึ้น จะส่งผลให้ product ดีขึ้น ต้องมองด้วยว่าควรมี Capacity ในการพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นด้วย ไม่ใช่รีดๆปั๊มงานออกมาจนหมดพลังใจไป

ตอนที่งาน sprint นั้นตรวจอยู่ dev ทำอะไร ? //คำถามจาก management ที่ส่งสัย

  • พี่ปอม: งานมันไม่ balance ทุกชิ้น ดังนั้น Dev อาจจะมาช่วยงานด้านอื่นๆ ให้เกิด cross functional team / self-manage team เช่น เราเป็น dev มี skill test มาข่วยงานในส่วนนี้ หรือไปช่วยขจัด dependency อื่นๆที่ติดอยู่

พวก dependency จัดการยังไง ?

  • พี่ปอม: Visualize ให้เห็นภาพ จะได้ sync ในแต่ละ squat ร่วมกัน ทำ scrum of scrum เป็นต้น จริงๆ การ sync นี่แหละ
  • พี่รูฟ: สร้าง Visibility ให้เห็น Code Product อื่นๆ จัดกิจกรรมให้เห็นร่วมกัน ให้เกิดการ Contribute อย่าหวง ใช้ flow merge request มาข่วย ทำให้ km transfer ร่วมกัน

คำถาม

  • Q: ที่ยกตัวอย่างว่า management ทำ agile อยู่ไหม ?
    A: ยังทำอยู่ แต่ความเข้นข้น ความถี่ อาจจะไม่ได้เท่ากับช่วงที่เริ่มแรก
  • Q: มีเคสที่ทำ Agile แล้วเลิกไหม ?
    A: Agility ไม่ใช่ 0 1 มองเป็น Analog Scale ทำ Agile แล้วถึงกำแพง แต่ไม่กล้าข้ามไปมากกว่า
  • Q: Retrospective อาจจะมีหลาย action item เอาอะไรมาทำ ?
    A: เลือกมาอันเดียวพอ ทำอันเดียว แล้ววัดผลนะ ย้ำว่าต้อง consensus ให้ทุกคนตกลงร่วมกัน เพราะมันไปกระทบ working environment ด้วย

จริงๆ หลังจากนี้ผมว่าจะไปฟัง Kubernetes Secrets Management on Production / Cloud Infrastructure as K8s Resources with Crossplane แต่คนมันแน่นมาก น่าจะมี Session Delay เลยไปใช้แผน 2 แทนครับ อันนี้รอ Blog ท่านอื่นครับ ^__^ แผน 2 มีหัวข้อที่ฟัง ประมาณนี้ อาจจะเก็บมาไม่ได้ครบครับ พยายามวิ่งๆ ไปเสียบๆ

As a "Developer' indeed we are the student of the world.

Session นี้ ผมเข้ามาช้า วิ่งไปมองห้อง K8S อันนี้น่าจะเป็นเรื่องของสมอง เราจะทำยังไงให้จัดองค์ความรู้ได้เป็นระบบนะ

1. เข้าใจสมอง กับการเรียนรู้

  • การนอนช่วยให้สมองมีการจัดการความรู้ มันจะเป็นระบบระเบียบมากกว่า อารมณ์แบบสอบ ถ้าอ่านคืนนั้น ไปสอบจะเบลอๆ
  • สมองของเราจะมีส่วนของ Long Term / Short Term Storage ซึ่งเหมาะกับงานคนละแบบกัน
  • Learning by doing ทำให้จดจำ หรือ การทำ discussion ให้เกิดการเรียนรู้ ลดความน่าเบื่อ
  • แต่การทำอะไรใหม่นอกจากมีตัว Learning Curver และมี Forgetting curve ด้วย //อันนี้จริง ถึงได้เขียน blog ไว้ไง
  • การจะกันลืม ต้องทบทวนหลังจากนั้น 18 นาที / 1 วัน และ 1 เดือนตามลำดับ ถ้าทวนบ่อยๆ
  • Key ที่สำคัญ Practice มัน link กับหัวข้อ Agile เลย เผื่อ capability ให้ทีม Practice ด้วย

2. Solving Impossible Puzzles

  • หา Blocker ที่เกิดขึ้น จะได้จัด Priority ถูก
  • Thinking outside the box? - ตีความใหม่ มองปัญหาใหม่ หรือ พยายามหาส่วนของ Boundary ของปัญหาให้เจอ
  • Critical Problem

3. Reading Code better - ความไม่รู้ทั้ง 3 ที่เจอ

  • ไม่รู้ว่าต้องการความรู้อะไร >> Long Term (เน้น practice)
  • ไม่รู้ information ที่มาจัดการเรื่องนี้ >> Short Term (ฝึกจดจำ)
  • Lack of processing power >> Working Memory ฝึกทำโจทย์ข้อ 2

4. How to feel cool

  • ยอมรับ feedback / ลุกให้ได้กับความล้มเหลว / หา lesson learn / ฝึกฝน - Practice และไม่เป็นน้ำเต็มแก้ว
  • แต่เราต้องรู้จักตัวเองก่อน ว่าเราเป็นแบบไหนนะ จะได้ปรับตัวใช้ได้

RECAP: ไม่ต้องฝึกถึง 10,000 ชม ใช้ 20 ชม. ตามขั้นตอน ดังนี้

  1. เรียนซึมซับมาระดับนึง
  2. รู้ว่ามันแปลกๆ enough to self-correct
  3. remove barrier - หาว่าอะไรที่มันขวางการเรียนของเรา
  4. และ practices 20 ชม

Update 2022-03-09 มี Ver 1.1 มาแล้ว ลองมาฟังจาก Live นี้ได้ เผื่อผมสรุปไปคนละแนวว 555

Update 2022-04-03 Speaker เขียน Blog สรุป ตามไปอ่านเพิ่มกันได้ครับ >> As “Developers” indeed we are the student of the world | by Thohirah. | Apr, 2023 | Medium

โค้ดอย่างแบต แซดอย่างบ่อย

When I wrote this code only God & I understood what it did Now... Only God knows. - Programmer | Make a Meme

ตามรูปครับ 555 ถ้าจะให้จำได้ต้องเขียน Test //TDD เป็นวิธีการนึงที่ช่วย แต่ที่นี้ที่ดีต้องอะไรบ้างนะ เช่น

  • Maintainability ช่วยให้ Code เกิด business agility ขึ้นได้ ปกติแล้วการ coding จะเกี่ยวกับ information กับ data สิ่งที่เราทำจัด data ที่เหมาะสม ให้ได้ information ที่ต้องการใช้ step ,พวกนี้ คือ traceability นั้นเอง
  • Traceability - code ที่เขียนมาจาก analysis อะไร information อะไรมาตัดสินใจ analysis นี้
  • สุดท้าย Readability อ่านง่าย เวลาที่ใช้ทำความเข้าใจ เช่น code บอก flag true false ใน db ดันมีค่าอื่นๆ หรือ โคตร if
https://www.reddit.com/r/shittyprogramming/comments/3fjzx2/epic_nesting/

แล้วเราจะปรับยังไง มี Data Recipes 6 ข้อ

  1. Problem analysis to Data Definition - well form requirement ทำ domain analysis จะได้อยู่ว่าอะไรควรอยู่ที่ไหน
  2. Signature / Purpose Statement / Header
    - Signature ติดก่อนว่า method เรา input output อะไร ทำ Stub เตรียมไว้
    - Purpose method ทำอะไร comment เขียน test บอกไว้
  3. Functional Example เรื่มเขียน Test ตาม Data Definition + ข้อก่อนหน้า
  4. Function Template pattern ของ code เช่น รับ List หรือ tree พวก null เป็นต้น
    - รู้ทำไม >> รู้เพื่อป้องกัน รู้ว่า data null ต้องดักไง
  5. Function Definition - ทำให้สมบูรณ์ implement
  6. Testing ให้ครอบคลุม

Developer the way of water

อ่านชื่อหัวข้อ ไม่รู้มีใครคิดแบบผม หรือป่าวนะ ผมนึกถึงหนังจีนกำลังภายใน แต่พอมาฟังแล้วมีอะไรบ้างมาดูกันครับ

FSE = Full Stack Executive รู้หมด และเป็น bridge ระหว่าง Management และคนทำงาน จะมองว่าเป็น CTO ก็ได้นะ Business + Tech = Product

ที่นี้สำหรับสาย Dev เรียกว่าไงดี มีความได้เปรียบในการไหล ปรับไปกับ Keyword ต่างๆในรูป อย่างพี่เอกเอง แกเริ่มต้นมาจาก Dev และต่อยอดในสายอื่นๆ อย่าง Network / Infra / Security เป็นต้นครับ

จากภาพด้านบน Dev ไปเพื่ออะไร ? เราอยู่ที่ไหน

  • องค์กรใหญ่ เราอาจจะเป็นจุดเล็กๆในภาพ
  • Startup ฉันนี่แหละ Full Stack แตะไปหมดทุกกล่อง

แต่ละกล่อง คือ อะไร

  • Path แรกของเราเป็น Dev จากกล่อง Dev มีอะไร
    • Data - PL/SQL
    • Front End/Back End
  • QA ของ App ไม่ว่าจะ Model ตรวจ Code ทำ Peer Review Spec (QA สมัยนี้ทำ Coding แล้วนะ พวก robot framework)
  • Security มันแทรกซึมในทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็น dev qa data cloud
    • Sec x data Information Sec ไป keyword CIA / Authentication/ Authorization
    • Sec x full stack จาก data มันชิ่งมา code CIA มันกลายเป็น Application Security และมีทำ Secure Coding แม้ว่า App ไม่ใข้ Data มันมีมุม Resource ที่ Deploy ด้วยนะ
    • Sec x QA - Static Code Analysis / Review Code
    • Sec x Cloud
  • Cloud

ชีวิตของ Dev เราเหมือน Skill tree เล่นเกม developer as water มันเปลี่ยนไปตามเวลา ตามเทรนเรื่อยๆเลย ดังนั้น เราจะมา Build Skill Dev ยังไง ?

  • Business Domain ช่วยให้เอ๊ะ อ๋อได้ไวมาก
  • Technical Domain บางอย่างมันใหม่มากๆ แล้วมันหา Business Domain ยาก อาทิ เช่น Blockchain จะเอาตัว Technical เข้ามาช่วย ให้เห็น use-case อื่นๆ หรือ เรียนรู้ภาษาใหม่
  • Generic Skill เช่น
    • Adaptive Design Pattern ไม่ใช้อยู่นะ แต่เป็นการเห็นปัญหาจริง แล้วอ๋อ เอา Singleton Facade หรือ Template Method มาให้เป็นต้น
    • Regulatory เช่น PDPA หรือ กฏหน่วยงานต่างๆ Matching สิ่วที่มี เข้ากับ Rule ที่มาใหม่ๆ
    • NOTE ถ้าไปทาง Generic Skill จบเป็นเป็ดที่เหนือกว่าเป็ดทั่วไป
  • Maintain มี skill / domain แล้วออก ก็ไม่นะ ต้อง maintain ให้ทำงานอยู่ได้นานทั้งหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน / HR และผลตอบแทน

ฟังจากห้อง Amber ช่วงเย็นมา มา 3R Reflect รับฟังปัญหาจากคนที่อยู่ และคนที่กำลังจะออก / Reimagine - คิดใหม่ ทำใหม่ / Reignite -สร้างบิ้ว กระตุ้นทีม ตอบ maintain คนด้วยนะ //พอมีคนในทีมออกฟังเรื่องนี้จะมี inner 555

ยุคเดิม On-Premises Server ที่มัน Update / Scale และดูแลลำบาก ดังนั้น Cloud มาตอบโจทย์ตรงนี้ มันเหมือน On-Premise Server แหละ แต่จัดการได้สะดวก On-Demand ผ่าน Web Console แต่คุม Cost (Pay as you go) / Scale / Security ตาม Shared responsibility.

Cloud Native - App เกิดมาแบบ optimize สำหรับ Cloud ใช้คุณสมบัติ Elasticity / Scalability /Unlimited Storage / Security ได้มากที่สุด และตอบโจทย์ Business.

ไม่คิดว่าจะมามุข jar 55

History of Application Management (Cloud Native timeline) - หลาย Keyword มีมานานแล้ว แต่เพิ่งมาใช้งานกันกว้างขวาง

แล้วเราอยู่ใน Stage ไหนนะดูจาก Cloud Native Maturity Matrix Tools ด้านล่างเลย ลองมาวงๆกันได้

มาดู Keyword ที่น่าสนใจ ในแต่ละหมวดดีกว่า

  • หมวด Culture: ตอนนี้เป็นเรื่อง Collaboration หลายอย่างมาร่วมมือกัน เช่น DevOps ChatOps GitOps เป็นต้น
  • หมวด Product Service Design: - Data Driven
  • หมวด Team: - DevOps / SRE + Internal Supply Chain
  • หมวด Process: - Distribute - Self Organize
    NOTE หมวด Team + Process ที่ทำกัน คือ ตัว Micro Enterprise //พี่ Speaker ได้แนะนำให้ฟัง ‘Digital Transformation in Action’ เพิ่มครับ
  • หมวด Architecture: ตอนนี้ microservice อนาคต Functions ใน Cloud ตอนนี้ Serverless
  • หมวด Maintenance: Full Observability + Self-Healing Pattern ต่างๆที่ใช้อย่าง Circuit Breaking / Feature Toggle หรือ กลุ่ม Chaos Engineering พอเรามี Data Point ที่มากพอสามารถทำในส่วนของ Preventive Maintenance โดยเอา ML + AI มาช่วย
  • หมวด Delivery: CD ตอนนี้ Continuous Deployment key ตอนนี้ GitOps
  • หมวด Provisioning: ตอนนี้ไป way k8s + serverless ที่มีการ Adopt ใช้อยู่นะ ถ้าพวก Tools เช่น KEDA / OpenFunction / knative เป็นต้น
  • หมวด Infrastructure: ตอนนี้จะเป็นส่วน Container + Hybrid Cloud + Edge Computing Cloud หลายค่ายออก Product มาแล้ว อย่าง Azure ARC เป็นต้น

จบและ เยอะเหมือนกัน สำหรับวันนี้ขาไปนั่งรถไป 1.30 ชม และขากลับ 2.27 ชม เจอรถติด อันนี้ต้องย้ายไป ฺBTS ในวันพรุ่งนี้แทนครับ เสียดายเรื่อง K8S ทีมงานน่าจะมีบัตร Live จ่ายแพงกว่า Onsite ก็ได้นะครับ จริงๆ งานวันนี้มีสะดุดอยู่ แต่ผมว่าเดี๋ยวรอวันพรุ่งนี้ก่อนจะได้บ่นทีเดียว 555

อ๋อเรื่อง Live ถ้ามี Session หลักที่ห้อง Amber1-3 มี Live แยกอยู่ครับ ในบาง Session ลองไปเลื่อนๆกันได้

Blog ท่านอื่นๆ

Reference


Discover more from naiwaen@DebuggingSoft

Subscribe to get the latest posts sent to your email.