จริงๆ ผมไม่ค่อยรู้ความหมายของคำนี้หรอก 55 แต่พอลงทุนให้หุ้น ผมต้องหาความรู้เพิ่มเติมเหมือนกัน เพราะ เราจะมั่นใจว่าเงินมันทำงานแทนเราได้ เราต้องมีความรู้ก่อน เพื่อจัดสรรให้เงินมันทำหน้าที่ของมันได้เหมาะสม

วันนี้มีศัพท์สองคำมาแนะนำกับนะครับ คือ Economy of Scale กับ Return to Scale ว่านักลงทุนอย่างแรก ควรรู้ไปเพื่ออะไร มันมีผลอะไรกับหุ้นของเราบ้าง

เริ่มต้นกันที่ Economy of Scale

Economy of Scale แปลตรงตัว คือ การประหยัดของขนาด ถ้าพูดง่ายๆ คือ การลดต้นทุนต่อหน่วยให้ลดลง โดยการขยายกำลังการผลิตให้มากขึ้น ถึงตอนนี้หลายๆคนอาจจะลงสงสัยว่า ทำไมผลิตเพิ่ม แล้วต้นทุนถึงต่ำลง เราต้องมองไปที่ค่าใช้จ่ายในการผลิต มันจะส่วนที่เป็นที่คงที่ กับแปรผ้น โดย

  • ค่าใช้ Fix Cost ได้แก่ ค่าเครื่องจักร ค่าแรง เงินเดือน เป็นต้น
  • ค่าใช้ Variable Cost ได้แก่ พวกวัตถุดิบต่างๆ เป็นต้น

มาถึงตรงนี้หลายคนอาจะงงนะครับ เดี๋ยวผมยกตัวอย่างให้ง่ายๆ เช่น โรงงานชาเขียว มีเครื่องจักรผลิตชาเขียว 2 เครื่อง ถ้าผลิต ชั่วโมงละ 100 ขวด ต้นทุน 2,000 บาท ทุนขวดละ 20 บาท ถ้าเราผลิดเพิ่มหละเป็น 200 ขวดหละ ทุนลดลงไปเหลือ 10 บาท (ยังไม่รวมค่าวัตถุดิบเข้ามานะครับ) จากตัวอย่างนี้ จะเห็นแล้วค่าใช้จ่ายในส่วนของเครื่องจักรที่เป็น Fix Cost ทำไมต้นทุนที่ได้ถึงถูกลงครับ

ถึงตรงนี้แล้ว ผมว่าหลายคนคงคิดว่ามันน่าจะดีนะ ถ้าเราทำให้ทุนมันลดได้ แต่ทำอย่างไร จากตัวอย่างที่ยกไป โรงงานอาจจะซื้อเครื่องจักรเพิ่ม (ถ้าในตลาดหุ้น อาจจะเป็นการขายหุ้นเพิ่มทุน เพื่อเอาเงินเหล่าเม่าไไปหาเรื่องจักรเพิ่ม) หรือปรับ Flow การทำงานแทน จากตอนกลางวันเป็นตอนกลางคืน เพราะ อากาศเย็นกว่าทำให้ไม่ต้องพักเครื่องบ่อยๆ หรือ จัดลำดับการผลิดของแต่ละหน่วยย่อยๆ

เมื่อเห็นว่า Economy of Scale มีจุดเด่นอย่างนี้ แล้ว มันจะมีจุดตาย หรือไม่ ?

มี ครับ เพราะ การทีเราสามารถทำให้ต้นทุนต่อหน่วยมันลดลงนั้น มันไม่สามารถลดต้นทุนของสินค้า หรือบริการต่างๆ ให้เท่ากับศุนย์ ได้ครับ ถ้าบริษัทของเราไม่สามารถเป็นผู้นำ หรือผูกขาดได้ (monopoly) ในระยะยาวบริษัทของเราจะตาย เพราะเงินเฟ้อ หรือต้นทุนของสินค้าต่างๆที่สูงขึ้นเมื่อสินค้าและบริการของเราครองตลาดได้แล้ว สิ่งที่ผู้บริหารมักทำ คือ การลดต้นทุน ทำให้งบต่างๆโดนตัดไป รวมทั้งส่วนของ R&D ด้วยครับ บริษัทที่ใกล้ตัวที่สุดน่าจะเป็น

  • Kodak ที่มีเทคโนโลยีกล้องดิจิตอลอยู่แล้ว แต่กลัวการเข็นออกมาแล้วไปตีตลาดกับกล้องฟิล์มที่บริษัทตัวเองเป็นจ้าวตลาดอยู่
  • Nokia ที่มีมือถือหลายๆรุ่นที่ทำเป็นจอ Touch Screen แล้ว แต่ไม่นำเสนอให้ลูกค้าใช้ จนกระทั้ง iPhone มาปฏิวัตืวงการมือถือครับ
  • Microsoft ที่ปิดกันตัวเองในการทำ Office ใน Platform อื่นๆ เพราะกลัวจะไปตัดกำลังกับ Windows ที่เป็นธุรกจิหลักของบริษัท ถึงแม้จะกลับตัวภายหลังได้ แต่เราต้องรอดูต่อไปว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรครับ

ต่อมาเป็นคำที่สองนะครับ Return to Scale

Return to Scale แปลตรงตัว คือ ผลได้ต่อขนาด ถ้ามองในภาษาคอม อาจจะติดความได้ว่า เราใส่ Input อะไรเข้าไป และได้ Output ออกมาเท่าไหร่ครับ โดยเจ้า Return to Scale มี 3 แบบที่เป็นไปได้

  • Increasing ใส่ปัจจัยเข้าไปแล้วได้ผลผลิตมากขึ้น กว่าที่ป้อนเข้าไป (Output > Input) โดยรูปแบบนี้ดีกับ Economy of Scale เพราะ เราจะไ้ด้ต้นทุนที่ต่ำลงครับ
  • Constant คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง (Output = Input)
  • Decreasing คือ ใส่ปัจจัยเข้าไปแล้วได้ผลผลิตลดลง หรือ แย่ลงครับ (Output < Input) อาจจะมองเป็น Waste ก็ได้นะครับ
FactoryLine

สรุป Increasing Return to Scale คือ การที่เราใส่ปัจจัยเพิ่มเข้าไป แล้วได้ผลผลิตที่ดีขึ้น

เมื่อผลผลิตดีขึ้น มาขึ้นจึงทำให้ต้นทุนลดลงครับ Economy of Scale

สองคำนี้หลายคนอาจจะงงว่าเกี่ยวการลงทุน อย่างไรมัน เราต้องไปเรียนเศรษฐศาสตร์เพิ่มเติมไหม ในความเห็นส่วนตัวของผม เราสามารถศึกษาข้อมูลคร่าวๆได้จาก Internet ครับ โดยความรู้คร่าวๆ เพื่อที่ช่วยในการวิเคราะห์หุ้นที่เราสนใจได้จากพื้นฐานของมัน หรือข่าวทีมาได้ครับ

 หมายเหตุ: เนื่องจากผมไม่ได้เรียนเศรษฐศาสตร์มาโดยตรง อาจมีข้อมูลผิดพลาด ผมขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ


Discover more from naiwaen@DebuggingSoft

Subscribe to get the latest posts sent to your email.